-=Jfk=-Short Story

.

นักซิ่ง กับสาวสวย

ย้อนยุค......นิยายจาก pantip โดย :อะโนนิมัส
[13 ก.ย. 2541 03:56:50]
(ฉากที่๑)
ลงจากด่วนตรงท่าเรือคลองเตย ข้าฯมุ่งหน้าพระราม๔ เพื่อเลี้ยวขวาไปทางกล้วยน้ำไท ถนน ๓ เลน เลนซ้ายย่อมเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด แต่เลี้ยวขวา ๒ เลนติดรอไฟเขียวอยู่
รถเมล์คันนั้น จอดอยู่เลนซ้ายหน้าสุด แต่เปิดไฟเลี้ยวขวา ข้าฯแน่ใจว่ามันเลี้ยวขวาแน่ แต่จอดปิดทางคนเลี้ยวซ้ายซะยังงั้น รถเก๋งคันเล็กจอดต่อเปิดไฟเลี้ยวซ้ายอย่างหมดหวัง
ข้าฯอยู่เลนกลาง ซึ่งติดยาวเหยียว เพราะจร.ไม่ค่อยไฟเขียวด้านนี้เท่าไหร่ ข้าฯคงอยู่เป็น คันประมาณสิบกว่า ไม่พ้นไฟเขียวแน่นอน อย่ากระนั้นเลย ข้าฯตบออกซ้ายไปต่อท้ายเก๋ง รอเลี้ยวซ้ายนั้น เพราะรู้แน่ว่ายังไงก็ติดเจ้ารถเมล์รอเลี้ยวขวาอยู่แล้ว
รอจนแทบหลับ ไฟก็เขียว รถเมล์ออกขวา เก๋งข้างหน้าข้าฯออกซ้าย โดยไม่ปริปากบ่นหรือกดแตร ซักคำ ข้าฯเลี้ยวขวาตามรถเมล์ ไหลตามกระแส รถเลี้ยวขวาเสร็จก็ชิดซ้ายจะเข้าสุขุมวิท ๒๖ กันมาก
แม้กระทั่งรถที่เลนขวาสุดก็เบียดเข้ามา แทบไม่มีรถไปทางตรง รถเมล์และรถข้าฯพยายามหักออกขวา ขัดกันอยู่อย่างนั้น มอเตอร์ไซค์ฝั่งตรงข้ามรอเลี้ยวขวาเข้าซอยอยู่สี่ห้าคันก็เลี้ยวพรืดมาทันที ฉกฉวยจังหวะรถฝั่งข้าฯบล็อคกันเอง รถเมล์ได้ช่องก็พุ่งกระชากออกไปเพื่อครอบครองพื้นที่ จิ้มจึกเข้ากับล้อหน้ามอเตอร์ไซค์รับจ้างจอมห้าว ไม่แรงอะไรนัก แต่แน่นอนเนื้อหุ้มเหล็กย่อมปัดเป๋ไป
สิงห์บิดเสื้อกั๊ก ตะโกนด่าดังลั่นพร้อมกับขับเข้าขวางหน้ารถใหญ่แบบไม่กลัวตาย เพราะพยานเยอะเต็มแยกไปหมด รถเมล์จอมอันธพาลก็เบิ้ลเครื่องอย่างแรง กระตุกๆออกไปเพื่อให้นักบิดกลัว คราวนี้แก๊งวินปากซอยก็เข้าร่วมแจมทันที

ข้าฯไม่เคยสนใจความวุ่นวายบนท้องถนน ข้าฯเพียงอยากไปให้พ้นจากถนน ถึงที่หมายโดยเร็วและปลอดภัยเท่านั้น จังหวะรถเมล์กระเถิบออกไปจนรถข้ามีที่ว่างพอหักหน้าออกขวาได้ ข้าฯฉวยจังหวะนั้นทันที ออกรถไปอย่างไม่เหลียวหลังว่าจะเกิดศึกระหว่างนักบิดและนักขับรับจ้างอย่างไร

ฝั่งซ้ายคือพื้นที่จัดงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับบ้านซึ่งมีจัดกันตลอดปี เปลี่ยนชื่องานไปเรื่อยๆ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของข้าฯ นอกจากทำให้รถติดขึ้นอีกหน่อย เพราะรถจะเข้าไปติดจ่อกันที่เลนซ้ายทางตรงว่าง ข้าฯไปอย่างเร็วและเร่ง จากนิสัยไม่ชอบขับกินลมชมวิว .. ถัดจากงานเอ็กโปซึ่งเป็นบริษัทจำพวกขนส่งพัสดุ รถบรรทุกคันใหญ่ที่รอช่วงถนนว่างอยู่ทางซ้าย เลี้ยวควากออกมาอย่างเร็วและแรง แน่นอนวงเลี้ยวกว้างตามขนาดและความเร็วของรถ มันไม่สนใจรถเก๋งอย่างข้าฯซึ่งวิ่งมาเลนขวาสุดของถนน ๓ เลน ว่าจะเบรคหัวทิ่มหัวตำยังไง เพื่อจะได้ไม่ชนท้ายมันเข้า รถข้าฯก็จะยับเยินโดยที่รถมันถลอกเล็กน้อย และข้าฯต้องเป็นฝ่ายผิด ขณะนั้น ข้าฯนึกอยากมีปืนขึ้นมาตงิดๆ

[13 ก.ย. 2541 03:58:31]
(ฉากที่ ๒)

ถนนข้างหน้ายังโล่งอยู่ รถบรรทุกข้างหน้าข้าฯก็ทิ้งห่างไปไกล ข้าฯกำลังค่อยๆไล่ความเร็วขึ้นไปอย่างไม่รีบร้อน แก้นิสัยชอบเร่งให้สิ้นเปลืองโดยเปล่า นั่นทำให้ข้าฯหยุดได้ทันที่ทางม้าลายหน้าตึกเอสโซ่ หลังจากเหลือบกระจกมองหลังอย่างเร็ว เห็นว่ารถหลังยังอยู่ห่าง ข้าฯจึงหยุดให้ อันเป็นส่วนน้อยนิด
ที่แทบไม่มีแห่งมารยาทดีของข้าฯ แต่ถ้ามีรถขับกระชั้น ข้าฯก็จะระวังว่าจะหยุดหรือผ่านเลยไปดี
ก็คุ้มค่าอยู่หรอกที่ให้ทางแก่คนเดินถนนกลุ่มนั้น ผมยาว ขายาวแต่กระโปรงสั้นซะนี่ สีหน้าข้าฯนิ่งสนิท
ภายใต้แว่นกันแดดขนาดใหญ่ ส่วนดวงตาหลังเลนส์บังแสงก็กระชั้นไปกับจังหวะก้าวขายาวๆนั้น
ความงามแห่งเรียวขาที่แข็งแรงได้รูป มีกล้ามเนื้อพอสวยดึงดูดใจข้าฯได้ยิ่งกว่าวงหน้าขาวๆนัก
ขาสวยคู่ที่นัยน์ตาข้าฯชื่นชมยังไม่ทันก้าวขึ้นเกาะกลางเพื่อรอข้ามถนนอีกด้าน เสียงแตรอันเคยชิน ในเมืองแห่งผู้คนจิตหงุดหงิดเพราะรถติดก็เร่งเร้าเหมือนกลัวข้าฯจะหลับไปในช่วงหยุดรอคนข้ามฉะนั้น
พอพ้นแถบขาวๆทั้งหลายมา ข้าฯก็เปลี่ยนเข้าเลนกลาง เพราะเล็งเห็นว่าเลนขวาจะติดเพราะรถทั้งหลายที่รอกลับรถหน้าสาขาขององค์การโทรศัพท์
ส่วนเลนซ้ายก็ประกอบด้วยรถเมล์จ่อกันอยู่ให้คนขึ้นลง
นักบิดรับจ้างเลี้ยวแว่บจากฝั่งตรงข้ามเพื่อเข้าซอยซ้ายมือ ด้วยเห็นถนนว่างเว้นช่วงในเสี้ยวอึดใจ แต่ มาติดที่รถเมล์คันโตเลนซ้ายบังมิดพอดี จึงจอดจ่อข้างตัวถังสีแดงครีมอยู่อย่างนั้น ข้าฯจึงต้องหยุดลง อีก ครั้งเพื่อรอให้นักบิดหัวใจหุ้มเหล็กนั้นผ่านไปได้ก่อน โดยไม่สะทกสะท้านเหล็กหุ้มเนื้ออย่างข้าฯ แต่อย่างใด

ข้าฯชิดซ้ายเข้าซอยลัดเพื่อไปออกถนนสุขุมวิท เป็นซอยที่เหมือนกับซอยอื่นอีกพันหมื่นซอยในมหานคร แห่งนี้ ปากซอยมีวินถึงแม้ความลึกซอยจะไม่ถึง ๑ กิโลเมตร ระเกะระกะไปด้วยรถนานาชนิดที่จอดกัน ข้างๆสิ่งที่เคยเป็นบาทวิถีผุพัง น้ำเจิ่งนองเป็นหย่อมๆ เศษเหล็กเศษอุปกรณ์ของร้านค้าตึกแถวต่างๆ กองออกมาบนพื้นที่สาธารณะ ทำให้ข้าฯต้องหลบอ้อม หรือคอยรถสวนผ่านในช่วงที่ไปได้คันเดียวเป็น ระยะๆ
พื้นผิวคอนกรีตที่เหมือนคนทำถูกบังคับขืนใจด้วยไม่เต็มใจทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเผชิญภัยบนถนน กรุงเทพฯคุ้นเคยและ(จำใจ)ยอมรับกันเป็นปกติ ข้าฯต้องปวดร้าวใจทุกครั้งที่คิดว่า ถนนอันแสนเส็งเคร็ง เหล่านี้ทำอันตรายระบบช่วงล่างทั้งหลาย ลงไปถึงยาง ๒๐๕/๖๐ ล้อ ๑๕นิ้ว ให้เสื่อมสภาพไปก่อนเวลา อันควรอย่างไรบ้าง ทำให้เจ้าของรถทั้งหลายต้องเสียค่าบำรุงรักษารถเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมหาศาลแค่ ไหน แต่ข้าฯจะทำอะไรได้นอกจากออกปากด่าสบถไปวันๆ

[13 ก.ย. 2541 03:59:41]
(ฉากที่ ๓)
ข้าฯขับรถมาถึงปากซอยแสนสบาย(ตั้งชื่อซอยได้คอนทราสต์ดีจริงๆ)ก็ชะลอรถลงถึงขั้น"คลาน" ไม่ใช่ข้าฯจะเป็นนักขับมือใหม่ที่ช่างจะกังวลสารพัดหรอก และปากซอยจะมีป้ายสามเหลี่ยม Yield ก็ หาไม่ แต่ผู้รับผิดชอบได้ทำดีกว่านั้นเพื่อให้แน่ใจว่ารถทุกคันจะต้องหยุดลง ด้วยหลุมบ่อที่ไร้รูปทรง ให้คาดเดาโดยสิ้นเชิง ราวกับงานนามธรรมของปฏิมากรโรคจิต ที่ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้แต่อย่างใด ทำได้เพียงค่อยๆหยอดลงไปและหวังว่าส่วนแหลมคมแห่งปฏิมากรรมนั้นจะไม่ทิ่มแทงเนื้อยางให้เกิด บาดแผลฉกรรจ์ขึ้นมา ยังไม่ต้องพูดถึงสิงห์เสื้อกั๊กที่ดูเหมือนจะใช้กฎจราจรคนละฉบับกับข้าฯโดยสิ้นเชิง เพราะเขาเหล่านั้นสามารถกลับรถตัดหน้า หรือแม้แต่วิ่งสวนเลนจราจรในถนนใหญ่ เพื่อข้ามไปถนน ด้านตรงข้าม ด้วยเกรงจะไม่ทันใจลูกค้าที่ต้องการความเร่งด่วน แต่ไม่ต้องการหลักประกันในชีวิต

เหนือถนนสุขุมวิท งานก่อสร้างขนาดใหญ่ของระบบขนส่งมวลชนความเร็วสูงที่เป็นความหวัง(ลมๆ แล้งๆ)ของชาวนคร คือสิ่งหลอกหลอนจิตใจข้าฯทุกๆครั้งที่ต้องวิ่งอยู่เบื้องล่าง มันเหมือนกับเล่น รัสเชี่ยนรูเลตต์โดยใช้ปืนที่มีลูกโม่ใหญ่เป็นพิเศษ อาจจะบรรจุได้สักพันนัด แล้วมีกระสุนหนึ่งนัดในโม่ ทุกครั้งที่วิ่งผ่านก็เหมือนเราเหนี่ยวไกไปหนึ่งคลิ๊ก สมองข้าฯเลิกคิดจินตนาการต่อ แต่เท้าข้าฯเหยียบ ลงไปบนคันเร่งหนักขึ้นเพื่อให้ถึงจุดกลับรถข้างหน้าโดยเร็ว

ตำรวจจราจรที่แยกกลับรถทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย อย่างน้อยก็ท่าทางของเขา แต่สีหน้านั้น ข้าฯไม่แน่ใจด้วยว่ามันอยู่ใต้กระเปาะสีขาวที่ช่วยทุเลาความเจ็บป่วยเกี่ยวกับทางเดินหายใจของเขาออกไป ได้อีกนิดหนึ่ง ข้าฯทำใจได้เมื่อเขาปล่อยให้รถทางตรงวิ่งฉิวผ่าน รอจนกระทั่งรถทางตรงเริ่มติดมาจาก ข้างหน้าจนเกือบถึงแยก เขาจึงปล่อยให้รถที่รอกลับที่แยกไปได้ รถคันหน้าข้าฯคือคันแรกที่รอมาจนแสน จะเกียจคร้านกระทั่งการหมุนพวงมาลัย เขากลับไม่พ้นถนนกว้าง ๓ เลนนั้น ทำให้ต้องถอยหลังยักแย่ ยักยันอีกครั้งจึงจะไปได้ และรีบเร่งเครื่องออกไปอย่างเร็วเหมือนจะชดเชยเวลาที่เขาทำให้ตัวเองและ ผู้ร่วมถนนเสียไป
ข้าฯเบื่อเล็กน้อยแต่ยังดีที่ข้าฯมักเว้นช่วงไว้พอสมควรตอนกลับรถ เพราะข้าฯเคยเห็น รถที่ติดกันยาวเหยียดเพราะคันหน้ากลับไม่พ้นและคันตามก็จี้ติดก้นคันหน้าเป็นขบวน ความเครียดตอน กลับรถมันมากพอสำหรับทั้งคนและรถแล้ว ข้าฯไม่อยากเพิ่มความเครียดให้กับส่วนรวมและส่วนตัว ไปมากกว่านี้อีก

[13 ก.ย. 2541 04:00:17]
(ฉากที่ ๔)
อีกสักประมาณร้อยเมตรข้างหน้าคือสามแยกที่ข้าฯจะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยทองหล่อ ถนนช่วงนั้นมืดทึบด้วย โครงสร้างขนาดมหึมาของสถานีรถไฟฟ้าที่ทำให้ข้าฯสองจิตสองใจว่าจะเลี้ยวเข้าซอยลัดเพื่อไปออก ทองหล่ออีกทีหรือไม่ ข้าฯมองไกลออกไปที่เสาสัญญาณไฟที่แยก สัญญาณไฟเหลืองที่เปลี่ยนขึ้นมาให้ เห็นแต่ไกลทำให้ข้าฯตัดสินใจได้ทันที โดยไม่ต้องไปปาดเบียดใครเพราะข้าฯชิดซ้ายเผื่อไว้อยู่แล้ว ข้าฯขับตามเก๋งญี่ปุ่นสีขาวสดใสเลี้ยวเข้าซอยอย่างไม่ต้องลังเล โดยไม่ได้สังหรณ์ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ จะทำให้ข้าฯเสียเวลาเพิ่มขึ้นมากกว่าการวิ่งไปตามถนนใหญ่
ในซอยลัด ฝั่งที่ข้าฯขับถนนโล่ง คงมีแต่คันขาวข้างหน้าและคันข้าฯที่ขับเข้ามา ในขณะที่เลนสวนมีรถติดกันยาวเหยียดเพราะรอเลี้ยวออกถนนใหญ่ ซอยนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ซอยที่ข้าฯพบที่ลาดยางเรียบ สนิทไม่มีหลุมบ่อ วิ่งได้สบายช่วงล่างรถและช่วงล่างของข้าฯยิ่งนัก แต่สิ่งที่หนีไม่พ้นไม่ว่าซอยไหนก็คือ มอเตอร์ไซค์ทั้งหลาย ที่มีที่ทางพิเศษเสมอในช่องกลางหรือกระทั่งซอกแคบๆข้างซ้ายของแต่ละฝั่ง เป็นคุณูปการที่ช่วยให้รถเก๋งทั้งหลายขับตามกันอย่างไม่แตกแถว เพราะอาจไปกีดขวางเลนของ พาหนะสองล้อนั้น อันจะก่อให้เกิดผลพวงที่ไม่ปรารถนาตามมาอีกหลายอย่าง
ข้าฯเห็นมาแต่ไกล และหวั่นใจอยู่ลึกๆ สองล้อติดเครื่อง ๑๒๕ ซีซีแบบทั่วไปคันนั้น วิ่งมาจากส่วนลึกใน ซอยอย่างเร็ว ด้วยว่าเลนด้านที่ข้าฯวิ่งโล่ง นักส่งสารในเสื้อสีกรมท่าทึบเข้ม ไม่มีหมวกกันน็อคผู้นั้นจึง วิ่งกินเลนมาอย่างฉิวๆสบายอารมรณ์ และก็ต้องเบียดเข้าอย่างไม่เต็มใจจะชะลอ เมื่อเจอรถคันที่อยู่ ข้างหน้าข้าฯ จอดขวางเลนสะดวกของเขาอยู่ ความไม่เต็มใจจะลดความเร็วลง คงสร้างความไม่เต็มใจ ให้กับเจ้าของรถคันหน้าข้าฯเช่นกัน ที่เห็นมอเตอร์ไซค์คันนั้นถลาเข้าซอกว่างระหว่างกลางของซอย ๒ เลนสวนนั้นอย่างฉิวเฉียดเหลือเกิน ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะพรวดทะลุไปได้ โดยไม่สูญเสียพลังงานจลน์ ที่สะสมมาแต่กลางซอย เขาคิดผิด แต่ข้าฯและคงจะคนขับคันหน้าด้วยที่คิดถูก

[13 ก.ย. 2541 04:01:10]
(ฉากที่ ๕)
รถเก๋งคันหน้าข้าฯกำลังวิ่งไป ในขณะที่เลนสวนเป็นรถแท็กซี่ที่เพิ่งได้ช่องจากขยับตัวของคันหน้าก็ เตรียมขยับกุกกัก นักบิดแมสเซนเจอร์ที่กำลังสวนมาก็กำลังเล็งที่จะผ่ากลางซอกแคบๆระหว่างตัว ถังรถทั้ง ๒ คัน ด้วยเหตุใดข้าฯก็คาดเดาไม่ถูก รถแท็กซี่นั้นหักล้อเบี่ยงขวาเอาไว้ พอออกตัวหลัง จากจอดอยู่นานโดยลืมจะสาวมาลัยกลับ รถจึงเบี่ยงออกมาทางขวา ด้านหน้าสุดของรถรับจ้างอยู่ ตรงกับประตูหลังขวาของรถเก๋งสีขาวคันหน้าข้าฯพอดีในขณะจิตที่เนื้อหุ้มเหล็ก ๒ ล้อแทรกมาถึง ช่วงบังโกลนหน้าของเก๋งสีขาว

ด้วยสัญชาติญาณ คนบนอานเบี่ยงรถหลบแนวแท็กซี่ที่เฉกินเลน แฮนด์ของตัวรถที่เขาขี่อยู่ก็มีอัน ไม่พ้นกับกระจกข้างคนขับของเก๋งคันหน้าข้าฯ พร้อมกันนั้นก็เบรคเสียงดังลั่น สนั่นเสียงผสมระหว่าง ผ้าเบรคกรีดกับจานเบรคและยางที่ครูดบดพื้นและแทรกมาด้วยเสียงสั้นๆของแฮนด์เหล็กที่ประทะกับ กระจกข้างอย่างแรง แรงจนกระจกเงาของรถแตกเป็นชิ้นกระเด็นข้ามหลังคามาตกอยู่ข้างหน้ารถข้าฯ
เหตุการณ์นิ่งสนิท ณ นาทีนั้น ซอกที่จอดรถของตึกออฟฟิศข้างๆ เป็นที่จอดพักของรถข้าฯและรถเก๋งคันหน้าที่กระจกข้างบาดเจ็บ คู่กรณีที่เหลือหายไปหมดแล้วด้วยหลักประพฤติอันดีที่จะไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่า เมื่อทั้งแท็กซี่และ มอเตอร์ไซค์ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไร ปล่อยให้คนขับเก๋งขาวนิ่งงันทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ จนข้าฯเดินลงไปหา ชะงักไปชั่วครู่แล้วทำสัญญาณให้เธอหักรถหลบพักข้างทางสักครู่

[13 ก.ย. 2541 04:01:42]
(ฉากที่ ๖ สลับฉากความเหี้ยม)
จะเป็นด้วยสีหน้าจริงจัง(ดู)น่าเชื่อถือของข้าฯ หรือด้วยความตกใจกับเหตุการณ์และเสียงตึงตังที่เพิ่ง ผ่านพ้นไป หรืออะไรอื่นๆข้าฯก็เหลือจะเดา และไม่มีเวลาที่จะเดา ด้วยว่าเจ้าของรถเก๋งสีขาวพยักหน้า และยอมเคลื่อนรถเข้ามาที่จอดรถของสำนักงานเล็กในซอยนั้น พร้อมกับข้าฯที่ขับตามเข้ามาอย่าง เพื่อนร่วมทางที่หวังดี ส่วนเจตนาจะดีหรือไม่นั้นคงเป็นสิ่งที่ข้าฯจะไม่บอกออกไปในที่นี้
ร่างที่ก้าวลงจากประตูรถสีขาวนั้นอยู่ในชุดสีดำที่ขับผิวที่ขาวเนียนอยู่แล้วให้ดูขาวขึ้นไปอีกเป็นชุด แบบที่เรียกว่าแซ็คสั้น ผมที่ซอยไว้แค่ต้นคอนั้นสีอ่อนกว่าสีดำของชุด คงเป็นไปตามสมัยนิยมที่ทำ ไฮไลต์สีผมเพื่อให้วงหน้าดูสว่างขึ้น
ข้าฯก้าวลงจากรถพร้อมกับถอดแว่นบังแดดออกเพื่อแสดงความ เปิดเผยจริงใจ และเป็นการบังคับสายตาของตัวข้าฯเองไปในทีไม่ให้เกิดอาการหลุกหลิกน่าหวาดระแวง สำหรับสาวนักขับขวัญอ่อนคนนี้ หล่อนยืนนิ่งข้างประตูรถ สีหน้าที่เป็นกังวลกับกระจกข้างหันมา มองดูข้าฯด้วยแววตาที่เหมือนถามปรึกษาข้าฯว่าจะทำยังไงดีกับคู่กรณีที่เผ่นหายไปแล้ว
ถึงจะตกอยู่ ในความเคร่งเครียดคิ้วขมวดแต่ข้าฯก็ยังเห็นความเรียวได้รูปแห่งวงคิ้วนั้นโดยไม่ต้องใช้ดินสอเขียน คิ้วแต่อย่างใด ข้าฯข่มรั้งความประหม่าที่จะเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าที่ทุเลาจากวัยเด็กไปมากแล้ว มองสบดวงตาที่กำลังมองข้าฯอยู่ ประกายสุกใสของตาคู่นั้นทำให้ข้าฯนึกถึงนัยน์ตาที่มีประกายสวย เช่นเดียวกันนี้ บนหาดทรายที่เงียบสงบ ไร้ไฟฟ้าอารยธรรม มีแต่แสงจันทร์นวลไล้ชายหาดสะท้อน ความสุกใสแห่งดวงตาของคนที่ข้าฯเคยหลงใหลเมื่อหลายปีก่อน..
โดยยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ข้าฯเริ่มเดินสำรวจด้านขวาของตัวรถของเธอ เพื่อหาร่องรอยความเสียหาย อื่นที่อาจจะเกิดเป็นของแถม นอกจากกระจกมองข้างที่แตกร้าวและแหว่งหายไปเสี้ยวใหญ่ๆแล้ว สายตาที่สับสน กังวล และร้อนใจคู่นั้นติดตามไปตามจังหวะการเดินของข้าฯ อย่างไม่มีอะไรที่จะ ดีไปกว่าที่ทำอยู่นี้
นอกจากรอยเปื้อนเล็กน้อยที่คงเกิดจากช่วงเข่าของ"คู่กรณีล่องหน" บนประตูด้าน คนขับแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยความเสียหายอะไร หญิงสาวเจ้าของรถคงเริ่มเห็นดีเห็นงามกับการกระทำ ของข้าฯเลยเริ่มเดินสำรวจรถตนเองอย่างละเอียดลออ ในช่วงที่หล่อนหันไปสนใจรถตัวเองแทนข้าฯ สายตาที่บังคับความสุภาพไว้ของข้าฯก็เผลอไผลสำรวจเจ้าของรถเสียด้วย ถึงแม้จะแน่ใจว่าร่างกาย หล่อนคงไม่มีอะไรบุบสลายจากอุบัติเหตุ แต่ยิ่งดีไปกว่านั้นคือความงามแห่ง…… (ติดโปรแกรมกรองคำ)

[13 ก.ย. 2541 04:02:26]
(ฉากที่ ๗ มิตรภาพ)
คำสนทนาก็เริ่มขึ้น "จะทำยังไงดีละคะ"
"รถคุณมีประกันชั้นหนึ่งมั้ย"
"คะ"
ข้าฯยิ้มปลอบใจ ยิ้มให้กับ ดวงตาคู่สวยนั้น "ถ้าอย่างนั้นสบายครับ เอ่อ มีเงื่อนไขต้องจ่ายพันบาทแรกถ้าไม่มีคู่กรณีหรือเปล่า"
"เอ ไม่ทราบสิคะ แฟนเค้าจัดการให้นะคะ" ข้าฯยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปลกใจหรือผิดหวังแต่อย่างใด
ถ้าเธอยังไม่มีแฟนสิ จะยังความแปลกให้ให้ข้าฯมากกว่า ข้าฯถามว่าเธอติดกรมธรรม์มาในรถด้วยหรือไม่
หญิงสาวหันไปค้นกุกกักในช่องใส่ของด้านซ้าย ข้าฯไม่อาจฝืนสายตาไปจากช่วงขาเรียวงามของเธอได้เลย
แต่ข้าฯก็เข้าข้างตนเองว่าไม่ได้มองอย่างจาบจ้วงหยาบคาย แต่มองอย่างชื่นชมกับความงามที่ปรากฎให้ เห็นเบื้องหน้าต่างหาก

เปิดดูกรมธรรม์ได้ครู่เดียวข้าฯก็ยิ้มบอกกับหล่อนว่า วิธีการที่สะดวกที่สุดคือ เอาเราเข้าอู่ประกันเมื่อว่าง แจ้งเคลมว่าขับเฉี่ยวชนเสาอะไรข้างทางก็ได้ กรอกแบบฟอร์มที่อู่ประกันได้เลย ที่เหลืออู่จะจัดการให้ วงคิ้วได้รูปนั้นคลายออกแล้วยิ้มอย่างสบายใจขึ้น ข้าฯก็พลอยสบายใจขึ้นไปด้วยแต่ก็ใจหายอยู่ลึกๆว่า
ใกล้เวลาที่จะจากกันแล้ว ไม่ว่าจะมีเหตุผลดีขนาดไหน ความช่วยเหลือของข้าฯเพียงเท่านี้คงไม่สามารถ เป็นข้ออ้างที่จะถ่วงเวลาคุยหรือสอบถามข้อมูลส่วนตัวของเธอเพื่อการติดต่อกันต่อไป นั่นคงจะทำให้ ความเป็นเพื่อนร่วมถนนที่ดีของข้าฯหมดไปในสายตาของนักขับรถแสนสวยคนนี้ด้วย
โทรศัพท์มือถือที่เธอหยิบมาโทรสีเหลืองสดใสรุ่นเดียวกับที่นิโคลใช้เล่นคอนเสิร์ตเสียด้วย แต่เธอไม่ได้ เอามาร้องเพลงแต่โทรไปบอกกับแฟนว่ามีปัญหานิดหน่อยคงไปดูหนังไม่ทัน เอาไว้นัดวันอื่นอีกที
นั่นทำ ให้ข้าฯประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอยิ้มและขอบคุณข้าฯเบาๆ พลางก้าวขึ้นนั่งที่คนขับ โดยยังไม่ได้ปิดประตูรถ บิดกุญแจสตาร์ตโดยยังยิ้มให้ข้าฯอยู่ แต่แล้ววงคิ้วนั้นก็ขมวดอีกครั้งเมื่อความ เงียบกริบตอบสนองการบิดกุญแจรถของเธอ ข้าฯเห็นเธอลองบิดกุญแจอีกสองสามครั้ง ได้ยินเสียงแช๊ก เบาๆทุกครั้ง แต่ไม่มีปฏิกิริยาจากเครื่องยนต์มากไปกว่านั้น

หญิงสาวที่ข้าฯยังไม่รู้จักชื่อทำแก้มโป่งแล้วถอนลมหายใจ สีหน้าเขินๆมองมาที่ข้าฯ แล้วก็ทำสิ่งที่คนขับรถ ร้อยทั้งร้อยต้องทำเมื่อมีปัญหาเช่นเดียวกันนี้คือเปิดกระโปรง..รถขึ้น ข้าฯเดินเข้าไปช่วยยกเหล็กค้ำฝาแล้ว เดินกลับมาหาเธอบอกให้ลองกดแตรดู เสียงดังกังวานดี ไม่ใช่แบตเตอรีแน่ ข้าฯสำรวจขั้วสายไฟดูความแน่นหนาซึ่งก็ปกติดี
เหลืออีกอย่างเดียวที่ข้าฯทำได้ ข้าฯเดินไปที่รถพลางปลดเนคไทร์และพับแขนเสื้อขึ้น กลับมาพร้อมกับไขควงยาวอันหนึ่ง.. เป็นไขควงเหล็ก บอกให้หญิงสาวบิดกุญแจไว้ที่ตำแหน่ง ON แล้ว ข้าฯก็เอื้อมไขควงลงไปเขี่ยที่มอเตอร์สตาร์ต ได้ยินเสียงแช๊กและความพยายามอย่างอ่อนล้าที่จะหมุนของมัน สองสามครั้ง ข้าฯค่อนข้างมั่นใจว่าปัญหาอยู่ที่มอเตอร์สตาร์ต ประกอบกับคำบอกเล่าจากเธอว่าอาการแบบ นี้เป็นมาได้สักระยะแล้ว คือใช้เวลาสตาร์ตนานขึ้น หลายครั้งในบางทีกว่าจะติด แต่เธอไม่ได้ใส่ใจกับมันมาก นักตราบที่ยังสามารถติดเครื่องได้
ผมคงต้องไปส่งคุณซะแล้ว.." ข้าฯยิ้ม ใจข้าฯก็ยิ้ม "ทำไมคะ เข็นติดได้มั้ย หรือจั๊มแบตฯได้มั้ยคะ" "แบตฯ ไม่เสียครับ รถคุณเกียร์ออโต้เข็นสตาร์ตไม่ได้หรอก" เธอทำหน้าสงสัยสักครู่แล้วก็ถอนใจเบาๆ "แล้วรถฟ้า
จะทำยังไงดี" หญิงสาวที่ข้าฯได้รู้ชื่อเล่นแล้วมองรถตนเองอย่างกังวล ข้าฯเดินไปคุยกับยามที่เฝ้าหน้าบริษัท ที่เราจอดรถกันอยู่นั้น ถามไถ่สักครู่ก็ได้ความว่าเพิ่งจะเข้ากะเย็นและจะอยู่ถึงเช้าวันต่อไป ข้าฯจึงฝากรถของ เธอไว้และฝากสินน้ำใจเล็กน้อยให้กับเขาด้วย หนุ่มนิสัยดีคนนั้นก็รับจะช่วยดูแลให้โดยไม่ต้องการน้ำใจจาก ข้าฯด้วยซ้ำแต่ข้าฯก็ยืนยันที่จะให้เพื่อตอบแทนน้ำใจเขา พลางอ่านป้ายชื่อจำเอาไว้เผื่อจะมีปัญหา
หญิงสาวถือของส่วนตัวของเธอมายืนรอข้างรถข้าฯ ขณะที่ข้าฯจัดของที่เกะกะไม่เป็นระเบียบทั่วเบาะนั่ง โดยโยนให้ไปรกอยู่เบาะหลังแทน เพื่อให้เธอขึ้นนั่งได้ "มีหนูมั้ยคะเนี่ย" เธอยิ้ม ข้าฯยิ้มตอบ "ผมเลี้ยงแมวไว้ในรถน่ะครับ เพิ่งเอาออกไปเมื่อเช้า ไม่มีหนูแน่นอน" เธอยิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อย แล้วนั่งลงในรถข้าฯ สตาร์ตเครื่อง หลังจากภาวนาว่าอย่าเป็นอย่างรถของเธอเลย เครื่องติดขึ้นมาปกติข้าฯแอบถอนหายใจเบาๆ "ไปกันครับ"

[13 ก.ย. 2541 04:02:58]
(ฉากที่ ๘ ในสายฝน)
เมฆที่แก่ฝนเต็มทีก็ได้จังหวะเทลงมา ไม่ใช่แค่ตกหยิมๆหรือตกซู่แต่เป็นผลจากการสะสมของเมฆฝนที่ ปิดทึบทั่วท้องฟ้าย่านนี้ ข้าฯเปิดไฟหน้าเพื่อส่องทางและเป็นที่สังเกตุของรถคันอื่นๆ รถที่วิ่งอยู่คันหน้า ข้าฯและถัดไปอีกสองสามคันเริ่มเปิดไฟฉุกเฉินสว่างวาบๆในสายฝนอันหนักนั้น ข้าฯเอื้อมมือเตรียมจะ ไปเปิดอย่างที่เคยทำมาเช่นเดียวกัน แต่พลันระลึกถึงความรู้ที่ข้าฯได้อ่านจากกลุ่มรัชดาแห่งพันทิพย์ ถึงอันตรายของการใช้ไฟกระพริบสี่มุมพร่ำเพรื่อ ข้าฯจึงชะงักมือเสีย "อ้าว ไม่เปิดไฟติ๊กตอกหรือคะ"
กำลังที่ข้าฯจะตอบ รถถัดไปข้างหน้า ๒ คันก็หักเลี้ยวขวาเข้าซอยเพื่อไปออกทองหล่อ ตามด้วยรถคัน ข้างหน้าข้าฯซึ่งเปิดไฟ"ติ๊กตอก"ทั้งคู่ ยังผลให้รถที่กำลังวิ่งสวนมากดแตรดังลั่นพร้อมกับกระพริบไฟ อย่างโมโห โดยที่หน้ารถเขาเกือบจะเฉี่ยวกับกันชนท้ายของรถคันหลังที่เลี้ยวไปนั้น
"เขาเปิดไฟเลี้ยวขอทางไม่ได้ เห็นมั้ยครับ" "จริงสิ" ข้าฯวิ่งตรงไปเลี้ยวอีกซอยข้างหน้าซึ่งตรงไปออก ทองหล่อได้เช่นเดียวกัน รถหลายๆคันจอดแอบอยู่เป็นระยะๆในซอยลัดนั้น ทำให้บางช่วงไม่สามารถ วิ่งเลนสวนได้
มินิบัสคันโตวิ่งสวนมาจากทางทองหล่อตรงทื่อมาแล้วหักมาทางเลนฝั่งข้าฯด้วยว่าหลบรถที่จอดเกะกะอยู่ ข้าฯชะลอให้เพราะอย่างไรก็หลีกกันไม่พ้นในช่วงรถจอดกันห้าหกคันต่อกันนั้นแน่ แต่เจ้ายักษ์ใหญ่สีเขียวก็เปิดไฟสูงกระพริบหลายครั้ง ราวกับจะให้ไฟสูงนั้นยึดรถข้าฯเอาไว้ขณะที่มันวิ่งกินเลนสวนมาอยู่
ข้าฯเกลียดวิธีนี้เป็นอย่างยิ่ง กระพริบไฟสูงโดยสากลที่ข้าฯเคยเห็นในหลาย ประเทศเป็นการ"ให้ทาง"ไม่ใช่"ขอทาง"อย่างก้าวร้าวเช่นในกรุงเทพฯนี้ ในเมืองที่สับสนนี้ข้าฯแทบไม่ เคยใช้ไฟสูงเพื่อให้ทางหรือขอทางเพราะเกรงว่าจะเข้าใจไม่ตรงกันเสียเปล่าๆ แต่ใช้วิจารณญาณเอา เอง
เจ้ามินิบัสคันที่กระพริบไฟไล่มาตลอดทางแคบนั้นโดยไม่สนว่าจะแสบตาและน่ารำคาญสำหรับรถด้านตรงข้ามขนาดไหน แทนที่ข้าฯจะเว้นให้พอที่เจ้ารถอันธพาลวิ่งสวนข้าฯเมื่อพ้นแนวแคบนั้นไป ได้โดยที่ไม่ต้องชะลอ ข้าฯก็ขยับรถขึ้นมาอีกประมาณเมตรหนึ่งเพื่อให้มันต้องชะลอลงก่อนที่จะ ผ่านข้าฯไป
"ไม่กลัวจะมีเรื่องเหรอคะ" หญิงสาวที่ข้าฯเพิ่งรู้ว่าชื่อฟ้าถามเบาๆ "ผมให้ทางแล้ว แต่มันอันธพาล แค่นี้ไม่หนักหนาอะไรหรอกครับ" ข้าฯแก้ตัวแต่ก็รู้สึกผิด "ขอโทษนะครับ บางทีผมก็ทำไปไม่ได้นึก เพราะเจอแบบนี้หลายครั้ง โมโหจริงๆ ถ้ามีเรื่องคงลำบากคุณอีก" ยิ้มบางๆที่เห็นปลายหางตาข้าฯ ทำให้ข้าฯเงอะงะขึ้นมาอีก ยังดีที่ข้าฯขับรถอยู่จึงเพ่งสมาธิไปกับการขับรถตัดความประหม่าและใจ ที่เต้นแรงขึ้นจนได้ยินตุบๆในหูตัวเองได้ "เพลงเพราะดี ไม่เคยได้ยินเลยคะ" เขตอรัญญ์ เลิศพิพัฒน์ กำลังบรรเลง "พรุ่งนี้" ด้วยกีตาร์คลาสสิกในชุด "น้ำตาแสงไต้" ที่ข้าฯขวนขวายไปหาเจอใหม่จนได้ ที่ร้านโดเรมี สยามฯ "คุณเกิดไม่ทันมั้ง"
"อ๋ายย.. งั้นหน้าคุณก็อ่อนกว่าอายุมากเลยนะคะ"
ข้าฯออกปากซอยเลี้ยวซ้ายเข้าทองหล่อพอดีเมื่อเธอพูดขึ้น "หาข้าวกินก่อน..ดีมั้ย..?"
"สั่งเป็นกับข้าวละกันนะคะ" เมนูเลียนลายกระดาษสาสวยหวานชวนให้สั่ง "ขอไก่ผัดเปรี้ยวหวาน กับยำวุ้นเส้นคะ" เธอหันไปสั่งกับบ๋อยแล้วหันกลับมา "ช่วยสั่งอีกซัก ๒ อย่างสิคะ" ผมพยักหน้า "ข้าวเปล่า ๒ จาน ชามะนาว ๒ ที่ครับ ดีมั้ยครับ" ยิ้ม "คะ อีกซัก ๒ อย่างสิคะ กับข้าวนะคะ"
"งั้นขอ ไข่เจียวหมูสับ กับแกงจืดครับคุณ" เธอหัวเราะ "สั่งเบสิคดีนะคะ" "เวลาไปกินกับเพื่อนก็ โดนด่าทุกทีครับว่าสั่งอะไรพื้นๆ กินที่บ้านก็ได้ แต่มาทีไรก็หมดก่อนทุกทีกับข้าวพื้นๆเนี่ย"
แล้วข้าฯก็แนะนำตัวกับเธอ แลกเปลี่ยนนามบัตรกัน เงียบกันไปสักครู่จนข้าฯชักเขินจึงหาเรื่องถาม เธอว่าขับรถมานานหรือยัง ยังไม่เคยเจอเคสอย่างนี้หรือ งานที่ทำเป็นยังไง ยกเลิกดูหนังกับแฟน ไม่กลัวเขาโกรธหรือ แล้วจะให้ไปส่งที่ไหน ฯลฯ
เธอจ้องหน้าข้าฯนิ่งไปสักครู่แล้วระบายยิ้มเล็กน้อย
"ฟ้าขับรถมาได้สักสามสี่เดือนแล้วละคะ ใหม่ๆ ก็กลัวเหมือนกัน ยิ่งพวกมอเตอร์ไซค์นี่พยายามไม่ยุ่งเลย ยังไม่เคยเจอแบบนี้เลยคะ เพราะฟ้าขับ ระวังพอสมควร แรกๆก็โดนบีบแตรไล่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้พอไปไหวไม่ต้องโดนข้างหลังด่าแล้ว…"
จิบชามะนาวที่เพิ่งยกมาอึกหนึ่ง "ตอนนี้ที่บริษัทค่อนข้างแย่เหมือนกันคะ งานไม่ค่อยเข้าเลย ฟ้า อาศัยคอมมิชชั่นตั้ง ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ ว่าจะซื้อแกลบมากินแล้วละ
เรื่องแฟนก็ไม่มีอะไรมากคะ (เธอเบือนหน้านิดหนึ่ง ข้าฯสังเกตุเห็นแววหม่นชั่วกระพริบตาก็หายไป) เค้าคงเข้าใจนะ อีกอย่าง เอ้อ… ไม่มีอะไรหรอกคะ เดี๋ยวคงต้องรบกวนให้ไปส่งที่บ้านนะคะ ส่วนฯลฯ นั่นยังไม่ตอบนะคะ รอคุณถามมาก่อน"
ข้าฯกับเธอสลับกันคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆ อย่างที่คนสองคนที่เพิ่งจะรู้จักกันพึงคุย อาชีพการงาน การศึกษา ย่านที่ทำงาน อาหารที่ชอบและไม่ชอบ กีฬา หรือกิจกรรมอย่างอื่นที่ชอบ วันหยุดทำอะไร ฯลฯ
แล้วข้าฯกับเธอก็ต่างประหลาดใจว่า เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยสักอย่างเดียว แบ็คกราวด์ การงาน สังคมเพื่อนฝูง กีฬา และอีกร้อยแปด พันเก้า หมื่นสิบ etc. แต่เธอและข้าฯก็ค้นพบด้วย ความทึ่งอีกเช่นกันว่า ความที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนั้นทำให้การสนทนามีรสชาติอย่างนึกไม่ถึง
ข้าฯเล่าเรื่องที่เคยไปตะลุยป่าเขาใหญ่ส่วนที่ไม่ค่อยมีคนเดินเข้าไปเพื่อหาน้ำตกเล็กๆ จนหลงป่านั่ง หัวเราะกับเพื่อนเพียงสองคนในสายฝนที่พรำๆแต่เรากลับห่วงกล้องมากกว่าห่วงตัวเอง
ในขณะที่ เธอเล่าถึงการไปเที่ยวกับเพื่อนที่คลับริมทะเลแถวปราณบุรี วันๆกินแล้วก็เล่นกีฬาสนุกๆในนั้น อย่างยิงธนู ตีแบดฯ (ดูเพื่อน)เล่นวินด์เซิฟ
ในขณะที่ข้าฯพบเหตุการณ์แข่งปาดกับแท็กซี่ในยุคที่ ใจร้อนจนเกือบจะมีเรื่องถูกตีหัวแบะ เธอกลับเล่าเหตุการณ์รถเสียแล้วได้แท็กซี่ที่ใจดีมาช่วยลาก รถพร้อมกับอาสาไปส่งจนถึงบ้าน ในวันหยุดที่ข้าฯมีความสุขกับหนังสือกองพะเนินเทินทึก เธอกลับ ไปเรียนเขียนแจกัน จัดดอกไม้ ทำอาหาร คั้นน้ำ RC ดั่งนี้เป็นต้น

ตะเกียงเจ้าพายุจำลองขนาดจิ๋วส่องแสงสว่างตามโต๊ะนั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะให้ความสว่างอันใด นอกจากสร้างบรรยากาศสำหรับลูกค้าที่มากันเป็นคู่ๆ แสงสว่างจุดเล็กๆนั้นสะท้อนสีส้มอมเหลือง เต้นระริกอยู่ในแววตาเธอ ข้าฯมองอย่างเพลิดเพลินในจังหวะที่เธอก็เพลินอยู่กับการเล่าเรื่องต่างๆ เสียงเม็ดฝนเม็ดใหญ่และหนาทึบสาดแรงจนกระทบบานกระจกของร้าน ซึ่งข้าฯและเธอได้ที่นั่งติดกับ บานกระจกพอดี "จะหยุดเมื่อไหร่ละนี่ เฮ้อ นี่ถ้าฟ้าขับรถอยู่เจอฝนหนักขนาดนี้ก็คงต้องจอดละคะ"
ฟ้าฝ่าเปรี้ยงสนั่นจนข้าฯและเธอก็สะดุ้ง แล้วข้าฯก็เห็นแต่แววตาของเธอที่สะท้อนตะเกียงจิ๋วนั้น
"ฮื่อ..ไฟดับหมดร้านเลย" เสียงเธอรำพึงเบาๆในความสว่างรางเลือนนั้น

เธอเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ทำให้ร่างนั้นอยู่ในเงามืดของร้าน แสงจากฟ้าแลบเป็นระยะที่ส่องเข้ามา
จากกระจกบานใหญ่หน้าร้านทำให้ข้าฯเห็นความหวาดกลัวในแววตาเธอเมื่อคิดไปถึงเรื่องอดีต
"ตอนนั้นฟ้าเพิ่งหัดขับรถแล้วเอารถของพ่อไปขับคะ ไปกินข้าวกับเพื่อนที่…" เธอเอ่ยชื่อห้างใหญ่ แถวราชประสงค์ "เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับ สักทุ่มกว่าๆได้เอง ฟ้าจอดรถชั้นใต้ดินชั้นแรก ไม่น่ากลัวอะไรเลยคะ ใกล้ทางเข้าห้างด้วย คนออกเยอะแยะ"
เธอส่ายหน้าน้อยๆ "ฟ้าระวังมาก คะเพราะพ่อก็สอนไว้ แล้วก็..เอ่อ..แฟนเค้าก็เตือน" เธอหันมองออกไปนอกร้าน ถอนใจเบาๆ "พอเดินเข้าไปถึงรถกำลังจะไขประตู ก็มีผู้ชายสองคนวิ่งมาทางฟ้า ตะโกนโวยวายใหญ่เลยคะ ฟ้าตกใจมากเลย"
ข้าฯนิ่งฟังเธอในขณะที่ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมา "เค้าเรียกชื่อว่าแมว หรืออะไรนี่แหละ ตะโกนใหญ่เลยว่าแมว แมวยังคุยไม่รู้เรื่องหนีมายังงี้ได้ไงนะ ฟ้าตกใจรีบเปิด ประตูรถ สองคนนั่นก็มาถึงตัวพอดี.."
มือของเธอกำแก้วน้ำแน่นอย่างไม่รู้ตัว ข้าฯจึงยื่นมือไป แตะเบาๆที่มือเธออย่างปลอบใจ "เค้าคว้าประตูรถฟ้าไว้ แล้วด่าฟ้าใหญ่เลย ฟ้างงแล้วก็ตกใจจน พูดอะไรไม่ออก แล้วคนคว้าประตูไว้ก็ผลักฟ้ามาทางประตูด้านหลัง ฟ้าเลยถูกอีกคนที่ยืนอยู่ จับแขนไว้แล้วเปิดประตูหลังดันฟ้าเข้ารถอย่างแรงเลยคะ"
เธอก้มหน้า เสียงสั่นเมื่อเล่ามาถึงตอน นี้ "ฟ้ากระแทกอะไรในรถไม่รู้แบบจุกเลย ได้ยินเสียงแว่วๆคนที่จับฟ้าคนแรก โวยวายว่าเรื่อง ผัวเมียคนอื่นไม่เกี่ยว" ข้าฯมองที่มือเธอทั้งสองที่ไขว้นิ้วกันอยู่ว้าวุ่นและเจ้าของมือไม่รู้สึกตัว
"คนแถวนั้นก็มีอยู่ใช่มั้ยครับ" "คะ ฟ้าคิดไม่ถึงจริงๆ ไฟก็สว่างคนเดินกันขวักไขว่ มันยังกล้า ฟ้าพยายามคิดในแง่ดีว่า เค้าอาจเข้าใจผิดหรือจำผิดตัวจริงๆ ฟ้าเลยพยายามพูดออกมา แต่คนที่นั่งกดฟ้าอยู่ควักมีดคัตเตอร์ออกมาจี้ที่คอฟ้าเลยคะ
คราวนี้ฟ้าเลยแน่ใจว่ามันตั้งใจแน่" น่าแปลกที่ข้าฯเริ่มเดาเหตุการณ์ต่อไปออก "ฟ้าได้ยินคนแรกที่เข้ามานั่งที่คนขับแล้ว ตะโกนด่า ใครก็ไม่รู้ว่าอย่ามาเสือก กำลังปรับความเข้าใจกับเมียอยู่แล้วมันก็ปิดประตูโครม สตาร์ตเครื่อง ออกรถเลย ฟ้ากลัว กลัวจนน้ำตาไหลพรากไม่รู้ตัวเลยคะ"
แม้แต่ตอนนี้ข้าฯก็มองเห็นแสงสะท้อน จากตาที่กำลังรื้นๆของเธอ "มันเอากระเป๋าฟ้าไปค้นจนเจอบัตรจอด แล้วกดหัวฟ้าติดเบาะเลยคะ มีดก็จ่อคอฟ้าจนฟ้าไม่กล้าแม้แต่จะสะอื้น"
เสียงเธอแผ่วต่ำ "ฟ้าสับสนไปหมด กลัวที่สุดในชีวิต เลยตอนนั้น คิดถึงคุณพระคุณเจ้า พ่อแม่สารพัด" หูข้าฯฟังเธอในขณะที่ใจข้าหวนระลึกกลับไป ถึงเหตุการณ์หนึ่ง "มันขับออกที่จอดแบบใจเย็นมาก ฟ้าได้ยินมันหยิบเงินให้ยามที่รับบัตรแล้ว ค่อยๆขับออกถนนใหญ่"
แต่มันก็ไปไม่รอด ข้าฯคิด "แต่ฟ้าได้ยินคนขับร้องเฮ้ยแล้วรีบเข้าเกียร์ เหมือนจะพุ่งหนี ฟ้ามองไม่เห็นเพราะถูกกดหัวอยู่ แต่รู้สึกรถพุ่งชนอะไรดังตึ้งเลยแล้วก็ครูดแครก ๆ แล้วประตูด้านหลังก็ถูกกระชากเปิดออกแรงมากเลยคะ" เสียงเธอระรัวเพริดไปตามอารมณ์ แห่งเหตุการณ์
"ฟ้ารู้ตัวอีกที ตำรวจก็อยู่ข้างๆฟ้า ถามอะไรฟ้าจำไม่ได้เลย เพราะมัวแต่สะอื้นอยู่ ส่วนมันสองคนนั้นไปไหนฟ้าก็ไม่เห็นแล้ว แต่รู้ทีหลังว่าตำรวจเขาตะครุบเอาไว้ได้คะ"
เธอจิบน้ำเพื่อลดความตื่นเต้นของตนเองลง "ฟ้ายังไม่เข้าใจเลยคะว่าตำรวจรู้ได้ยังไง ฟ้าถูกช่วย ได้ยังไง ตอนนั้นเขาพูดอะไรฟ้าก็อือๆเออๆ จนเขาหาเบอร์บ้านฟ้าจากกระเป๋าแล้วโทรไปบอกพ่อ พอพ่อมารับฟ้าร้องไห้โฮบนโรงพักเลย" ตอนนี้เธอยิ้มกับตัวเอง ข้าฯก็ยิ้ม ยิ้มกับความบังเอิญที่ ข้าฯและเธอไม่เคยคาดฝันมาก่อน "วอลโว ๒๔๔ สีเทาดำใช่มั้ยครับ" "คะ? ใช่คะ.. เอ๊ะ!"
ข้าฯหวนคิดไปถึงเย็นหนึ่งที่ศูนย์การค้าแถวราชประสงค์ ขณะที่กำลังจะขับออกจากที่จากรถ ข้าฯเห็น เหมือนการวิวาทกันระหว่างชายหญิงที่รถวอลโว่สีเทาดำในลานจอดรถ ซึ่งทำให้สงสัยจนต้องลดกระจก ลงดูตอนผ่านเข้าไปใกล้ แต่ชายที่นั่งหน้าตรงคนขับตวาดไล่ข้าฯเสียงดังว่าเป็นเรื่อง"ผัวเมีย"อย่าเสือก
แต่ภาพที่เห็นมันขัดแย้งกับสิ่งที่หมอนั่นพูด เพราะข้าฯเห็นลางๆผ่านกระจกที่ติดฟิล์มว่าหลังรถมีคน ๒ คน ผู้หญิงคนกับชายอีกคน ผู้ชายดูเหมือนจะจับหรือฉุดกระชากผู้หญิงอยู่แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา เพราะประตูรถได้ถูกปิดไปหมดแล้ว ข้าฯขับเลยไปพลางมองกระจกหลังเห็นรถคันนั้นขับอยู่ข้างหลังข้าฯ ๒ คันวิ่งมาทางออกเดียวกันซึ่งจะมุ่งหน้าไปทางประตูน้ำ
ขณะที่ข้าฯจ่ายเงินที่ป้อมเก็บเงิน ข้าฯคิดครู่หนึ่งแล้วพูดกับพนักงานเก็บเงิน "น้องๆ ช่วยดูรถวอลโว่สีดำ ข้างหลังนั่นหน่อยซิ สงสัยจะจี้รถหรือเปล่าไม่รู้"
พนักงานคนนั้นมองหน้าข้าฯอย่างแปลกใจนิดหน่อยก่อน หน้าจะกลับเฉยเมยเป็นปกติ
ข้าฯรำคาญสีหน้าทองไม่รู้ร้อนนั้น "แถวนี้มีตำรวจมั้ย(วะ)"
เด็กหนุ่มคนนั้น ชะโงกออกไปแล้วตะโกนถามเพื่อนที่ยืนข้างนอกแล้วหันมาส่ายหน้ายักไหล่ใส่ข้าฯ พูดด้วยเสียงรำคาญๆ "ไม่รู้สิพี่ คงมีจราจรมั้ง"
ข้าฯเลิกหวังจะพูดต่อขับรถออกมา แล้วก็เห็นตำรวจจราจรยืนโบกรถอยู่ข้างหน้า พอดี ๒ คน เป็นครั้งแรกที่ข้าฯรู้สึกดีใจที่เห็นตำรวจจราจรมากมายบนท้องถนนในกรุงเทพฯ
ข้าฯเคยรู้สึก รำคาญตำรวจเหล่านี้มาตลอดและหลายต่อหลายครั้งอคติของข้าฯก่นกับตัวเองว่าเพราะตำรวจเหล่านี้ รถราถึงได้ติดมากขึ้น เพราะชอบกั้นให้รถวิ่งยาวๆทีละด้าน ทำให้ด้านอื่นๆติดรอกันยาวเหยียด
แต่ครั้งนี้ ข้าฯยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นเครื่องแบบตำรวจข้างหน้า ข้าฯขับเข้าไปหาพร้อมกระพริบไฟหน้าให้เป็นที่สังเกตแล้วลดกระจกลงบอกตำรวจ "พี่ครับ รถวอลโวคัน หลังที่กำลังจะออกมานี่ดูเหมือนจะมีเรื่องครับ"
"เรื่องอะไรหรือครับ" เขาถามข้าฯอย่างสุภาพ
"ผมไม่รู้เขา จี้หรือทำร้ายร่างกายหรือเปล่า มีชายสองคนกับผู้หญิงคนนึงครับ"
"ได้ เดี๋ยวผมจะไปดูให้"
ข้าฯขอบคุณ เขาแล้วก็ต้องขับออกไปเพราะไม่มีที่พักรถบริเวณนั้นซึ่งข้าฯยื่นรถออกมาในถนนใหญ่แล้ว เหตุการณ์ ภายหลังจากนั้น ข้าฯเพิ่งมาปะติดปะต่อได้จากคำบอกเล่าของหญิงสาวที่นั่งตรงหน้าข้าฯขณะนี้เอง
สายตาข้าฯที่หลุดโฟกัสจากคนที่นั่งตรงข้ามก็กลับมามองเธออีกครั้งหนึ่ง ข้าฯหวังว่าตอนข้าฯนึกย้อนเหตุ การณ์นั้นหน้าตาข้าฯคงจะไม่เลอะเลือนแบบการทำดิสโซลว์ภาพในหนังเมื่อตัวละครจะนึกย้อนอดีตเธอกำลังจ้องหน้าข้าฯอย่างแปลกใจ
"คะ? คุณอยู่ตอนนั้นด้วยหรือคะ วันนั้นหนะ ใช่คนที่ไปบอกตำรวจ หรือเปล่า เห็นพ่อฟ้าเล่าให้ฟัง…"
ข้าฯเห็นสายตาเธอที่แสดงความรู้สึกปนๆกันระหว่างความสงสัย ความตื่นเต้น และความคาดหวัง(?)
ข้าฯลอบถอนหายใจกับตนเองเบาๆ แล้วยิ้มกว้าง
"โธ่ จำผมไม่ได้เหรอครับ ผมก็เป็นคนที่เอาคัตเตอร์จี้คุณไง ฮะฮะ"
เธอทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง "แหม ไม่ตลกเลยนะคะ ฟ้าตกใจแทบ ตายจริงๆ ตอนนั้นนะ"
เธอชะโงกหน้าเข้ามา จ้องหน้าข้าฯอย่างคาดคั้นแต่ก็ไม่ได้ลดความน่ารักที่ข้าฯชื่นชม มาเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆนี้เลย
"ว่าไงคะ" ข้าฯมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะต่อความยาวสาวความยืด
"ผมก็แค่ผ่านไปเห็นนะครับ เห็นตอนที่ตำรวจตะครุบตัวเจ้าสองคนนั่นแล้ว พอไทยมุงชักเยอะผมก็ถอย"
ข้าฯมองเธอ รู้สึกดีใจที่วันนั้นข้าฯมีส่วนช่วยเธอไว้ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่วันนี้ข้าฯได้มาพบเธอเข้า อย่างบังเอิญ
มันบังเอิญอย่างกับเรื่องนิยาย แต่จริงๆแล้วข้าฯเคยพบความบังเอิญที่แปลกๆกว่านี้มาแล้ว "คุณโชคดีมากนะครับ" สีหน้าเธอยังข้องใจบางอย่างอยู่ ข้าฯเลยรวบรัดเรียกบ๋อยมาคิดเงิน
เธอหยิบโทรศัพท์สีเหลืองขึ้นมาโทรขณะที่ข้าฯตรวจรายการอาหารในบิลอยู่
"พ่อหรือคะ..ฟ้าคะ…ติดฝนอยู่ นะคะ" เธอเล่าให้พ่อฟังคร่าวๆที่โดนเฉี่ยวกระจกข้างรถโดยไม่ได้เอ่ยถึงข้าฯ แล้วเธอก็วกมาเรื่องอดีตอัน ระทึกขวัญนั้น "อือม..พ่อคะจำได้มั้ยคะวันที่ฟ้าโดนจี้นะคะ พ่อไปถามตำรวจทีหลังว่ารู้ได้ยังไงถึงมาดักที่ ป้อมได้" "…" "คะ รถคันที่บอกตำรวจแล้วไปเลยนะคะ" "…." หางตาเธอกวาดผ่านหน้าข้าฯ "คะ ไม่มีอะไร
หรอกคะ ขอบคุณนะคะ… อ๋อคะเดี๋ยวก็จะกลับแล้วละคะ เพื่อนไปส่งคะ…. ไม่อยู่คะ โอเคนะคะ" เธอวาง โทรศัพท์ลงแล้วยิ้มให้ข้าฯ "อเมริกันแชร์นะคะ" "ครับ ๆ" ข้าฯเออออไปด้วยความคิดสับสนในหัวขณะนี้ พอจัดการจ่ายเงินเสร็จ โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้นอีก แสงสว่างหน้าปัดมองเห็นชัดในเงามืดของร้าน เธอเหลือบ มองเบอร์บนหน้าจอแล้วพูดเบาๆ "แฟนฟ้า…."
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นหันข้างให้ข้าฯนิดหนึ่งก่อนจะกดตอบ "คะฟ้าคะ…อ๋อกำลังทานข้าวอยู่นะคะ .. รถชน" เสียงเธอสูง "เหรอคะอ้าว .. แล้วใครเป็นฝ่ายผิดละ ..
เดี๋ยวซิคะเต้อย่าหงุดหงิดซิคะ" เธอถอนหายใจ "ก็ นั่งหลบฝนในรถไปก่อนซิคะเดี๋ยวก็คงมา .. แล้วทำไมไม่เอารถชิดข้างทางคะ .. แต่เต้ก็รู้ตัวว่าผิดไม่ใช่เหรอ เพราะไปชนท้ายเขานะ ..
ฟ้าไม่ได้เข้าข้างเค้านะคะ บ้าจัง .. โธ่เต้.. "
เธอนิ่งไป เม้มริมฝีปากขณะที่ก้มหน้า ฟังเสียงจากอีกฝ่ายที่ดังจนข้าฯได้ยินเหมือนเสียงตะโกนแว่วๆลอดออกมา
แล้วในที่สุดเธอก็เงยหน้าถอน หายใจหนักๆ ก่อนจะพูด
"เต้คะ แล้วเต้ไม่ห่วงฟ้าเลยหรือคะ ว่าทางฟ้าเป็นยังไง"
พูดเสร็จเธอกดตัดการ สนทนาทันที แล้วยังปิดเครื่องไปซะเลย
ข้าฯมองเธออย่างงงๆ เธอยักไหล่ "ไปส่งฟ้าด้วยนะคะ ไม่ไกล หรอกคะ"

ฝนยังคงตกอยู่แต่ลดความเกรี้ยวกราดลงมาบ้าง ข้าฯออกจากซอยเล็กๆเพื่อมาออกซอยทองหล่อ ระหว่าง ที่รอรถข้างหน้าเลี้ยวออกทองหล่ออีกร่วมสิบคัน
ข้าฯมองผ่านกระจกหน้าไปยังภาพที่บิดเบี้ยวพร่าเลือน จากสายน้ำที่ไหลหลั่งผ่านและไม่ได้เปิดที่ปัดน้ำฝนในชั่วขณะที่รถจอดติดอยู่นั้น
"นี่คงเป็นเรื่องแรกที่เรา ใจตรงกันมั้งคะ" "ครับ?"
"ตอนรถติดหรือรอไฟเขียวฟ้าก็ชอบปิดที่ปัดน้ำฝน ให้กระจกหน้ามันมัวๆอย่าง นี้แหละคะ ชอบมองเพลินดี แล้วก็รู้สึกเย็นชุ่มฉ่ำด้วย"
"ผมไม่อยากปัดสายน้ำสวยๆให้กระเด็นนะครับ ชอบมองพร่าๆมัวๆแบบนี้ ให้อารมณ์เหงาๆมันพิลึก" "อารมณ์เหงาๆนี่มันยังไงเหรอคะ"
ข้าฯหัวเราะหึหึ "ช่วงสั้นที่นั่งเหงาในรถคนเดียวกลางสายฝนนี่รู้สึกมีความสุข แบบได้อยู่กับตัวเองจริงๆ เคยเป็นมั้ยครับ"
เธอแกล้งทำหน้าเคร่งคิด "อือม.. ใช่บางทีฟ้าก็รู้สึกสบายใจยังไงไม่รู้ตอนที่คิดอะไรอยู่คนเดียวในรถ ไม่มีอะไรมากวน" เรายิ้มให้กันแล้วเก็บเกี่ยวความสุขจากความเงียบช่วงสั้นๆนั้น

พอออกมาซอยทองหล่อได้ แต่ละคันก็เร่งความเร็วกันเต็มที่เหมือนกับอัดอั้นแรงม้าของรถมานาน
ข้าฯขับ ชิดเลนขวาไปตามกระแสจราจรนั้น
เนื่องด้วยเลนซ้ายจะมีรถตุ๊กๆสี่ล้อจอดกันระเกะระกะเป็นระยะๆ รถคันหน้าข้าฯอยู่ห่างออกไปสักสิบกว่าเมตรเปิดไฟเลี้ยวขวาโดยไม่ชะลอ
สายตาข้าฯมองเลยไปยังเลน สวนมือข้าฯพลันกำแน่นกับพวงมาลัยอย่างไม่รู้ตัว ข้าฯเห็นอย่างลางๆว่ามีรถวิ่งสวนมาโดยไม่เปิดไฟอะไร เลย
เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับข้าฯมากสำหรับรถที่ทำตัวเก่งว่าวิ่งมืดๆได้อย่างนั้น โดยไม่ได้คิดว่ารถคันอื่นที่วิ่งร่วมถนนจะต้องระมัดระวังหรืออาจทำให้เกิดอุบัติเหตุโดยง่าย เพราะหลายๆคนที่มองแต่ไฟหน้า หรือไฟท้ายเป็นสัญญลักษณ์ของรถในยามค่ำคืน
รถคันหน้าข้าฯคงเป็นประเภทนี้ด้วย เพราะเขาเปิดไฟเลี้ยวแล้วก็เลี้ยวออกไปทันที ในพลบค่ำแห่งฝนค่อนข้างหนักนั้น เขาอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นรถสวนคันนั้น เลย แล้วรถทั้งสองก็ชนกันโครมสนั่นโดยรถฝั่งตรงข้ามเอาด้านหน้าชนเข้าเต็มๆกับบังโกลนซ้ายหน้าของ รถที่กำลังเลี้ยวขวาอยู่ มันแรงจนทำให้รถข้างหน้าข้าฯหมุนขวางเลนขวามิด
ในความเร็วประมาณห้าหกสิบที่ต้องเบรคกระทันกับระยะที่ใกล้เข้ามาน้อยกว่า ๑๐เมตรนั้น ด้วยสัญชาติญาณทำให้ข้าฯทำเหมือนกับที่เคยซ้อมเองเล่นๆจากการอ่านเทคนิคขับรถมาจากไหนสักแห่ง มือซ้ายและ ขวาข้าฯจับที่ตำแหน่ง ๙ และ ๓ นาฬิกา หมุนพวงมาลัยทวนเข็มไปทางซ้ายอย่างเร็วและไม่ปล่อยมือจนกระทั่งแขนขวาข้าฯไขว้ทับกับแขนซ้ายสลับตำแหน่งกันพอดี หน้ารถจิกเข้าซ้ายแบบถลาหลบรถคันหน้าที่ปัดขวางกลางเลนอย่างหวุดหวิด ข้าฯหมุนกลับมาครบวงรอบจนแขนซ้ายข้าฯมาไขว้ทับแขนขวาทำให้ รถข้าฯถลามาทางขวาอย่างน่าหวาดเสียว หลบออกจากเลนซ้ายซึ่งมีตุ๊กจอดห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร
แล้วข้าฯก็บังคับแขนหมุนพวงมาลัยกลับมาอย่างรวดเร็วสู่ตำแหน่งเดิม ซึ่งทำให้รถข้าฯกลับเข้าสู่เลนขวา ได้พอดี
ข้าฯแทบไม่เชื่อว่าข้าฯหลบรถคันนั้นมาได้และโฉบกลับมาสู่เลนเดิมได้อย่างปลอดภัย ยกเว้น แต่เสียงอุทานตกใจเบาๆจากหญิงสาวที่ข้าฯกำลังพาไปส่งบ้าน แต่เราคาดเข็มขัดทั้งคู่ทำให้ไม่เกิดอันตรายอะไรขึ้นมา
"ตายละ ทำอะไรเนี่ย" เธออุทานตกใจ "โอ๊ะ หลบรถคันนั้นมาได้เหรอคะ"
ข้าฯพยักหน้าตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะไม่เคยทำแบบนี้ในสถานการณ์จริงมาก่อน
"ทำยังไงคะ ฟ้าไม่ทันสังเกตเลย คิดแต่ว่าชนอัดเข้าไปแน่ๆคราวนี้"
ข้าฯอธิบายให้เธอฟังคร่าวๆโดยไม่ได้ปฏิบัติให้ดู เพราะเกรงว่า เธอจะตกใจเสียเปล่าๆ
"วันหลังต้องไปลองหัดดูแล้วละครับ" "หาลานโล่งๆไม่มีรถนะครับ.."
ข้าฯจอดรถหน้าบ้านเธอซึ่งอยู่ในซอยๆหนึ่งย่านลาดพร้าว แล้วเอื้อมไปหยิบร่มจากเบาะหลังยื่นให้เธอ
เธอมองหน้าข้าฯครู่หนึ่ง แล้วหยิบร่มจากมือข้าฯ "คิดว่าฟ้ากับแฟนฟ้าจะคืนดีกันได้มั้ยคะ.."
ข้าฯงง "โน คอมเมนต์ครับ"
"ตอบยังกับนักการเมือง.."
"ยังงั้นก็ ยังไม่ได้รับรายงานครับ.."
เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดสีหน้าจริงจังขึ้น "จริงๆแล้ว วันนี้ก็ตั้งใจจะพูดกับเขานะคะ แต่มีเรื่องแทรกซะก่อน.." เธอ มองภาพพร่าเลือนจากระลอกน้ำที่ไหลบนกระจกหน้า "ก็.. คงต้องไปคุยอีกที เฮ้อ" ข้าฯเงียบ แล้วเธอ ก็คว้ามือซ้ายข้าฯขึ้นมาแล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนหยุกหยิกใส่ฝ่ามือของข้าฯ "นามบัตรมีแต่เบอร์ ออฟฟิศคะ… นี่เบอร์มือถือฟ้า.." เธอยิ้มชายตามองหน้า ข้าฯนิ่งเงียบด้วยไม่รู้จะพูดอะไรออกไป "เอา ไว้โทรมาทวงร่มคืนนะคะ ขอบคุณมากจริงๆสำหรับวันนี้ อ้อ.." เธอบีบมือข้าฯเบาๆ "แล้วก็วันนั้นที่ฟ้า เกือบแย่ด้วย"
เธอเข้าบ้านไปแล้ว ข้าฯก็ขับรถเข้าถนนลาดพร้าวมุ่งหน้ากลับบ้านข้าฯ ด้วยเส้นทางเดิมที่ข้าฯหงุดหงิด แทบทุกบ่อยจากความติดขัดของรถ วันนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ต่างคืออารมณ์อันผ่องใสของข้าฯ
ข้าฯมองสายฝนสาดซัดกระจกหน้ารวมกันเป็นสายน้ำไร้ระเบียบ ซึ่งเปลี่ยนแปลงภาพโลกภายนอกรถ ให้บิดเบือนพร่าเลือนอย่างสุขใจ
ถนนไม่ได้เหี้ยมและคนไม่ได้โหดเสมอไป ใจข้าฯนึกไปถึง วันที่ข้าฯจะโทรไปขอร่มคืนจากเธอ แล้วก็มองมือซ้ายที่มีลายเส้นปากกานั้นอย่างไม่ตั้งใจ
ข้าฯคงต้อง ขับรถระวังหน่อยตอนนี้ เพราะข้าฯประคองพวงมาลัยด้วยมือขวามือเดียว ด้วยกลัวเลขบนมือซ้ายจะเลือนหายไป…

มีปัญหาเพิ่มเติม เมลล์มาคุยกันได้ ครับ
jfk@2jfk.com
Back to -=Jfk=- Short Story
www.2jfk.com