-=Jfk=- Car Experience

MB SLK R171 BRABUS Design
(White Pearl Colour PPG Code 0038 for Slk 2008)

Note สีจริง ของ สีขาวมุก ระหัสสี 0038 ของตัวนี้ ใกล้เคียงกับรูปบนสุดมากที่สุดสีออกขาวมุกออกครีมอ่อนๆคล้ายงาช้างที่ขาวอ่อนๆ ออกเหลือบสีมุกเวลาโดนแสง สวย มาก (แต่จะร้องไห้เวลาซ่อมสี เพราะว่าซ่อมสียาก มั่กๆๆ
ส่วนรูปอื่นๆ ข้างล่างนั่น สีขาวมุก รวมทั้งสีแดง จะเพี้ยนไปจากของจริง อันเนื่องมาจากการ ไม่ได้ตั้ง Whtie Balance กล้องให้ตรงกับแสง แล้วก็ขี้เกียจ ถ่ายใหม่ :P

หลังจากใช้งาน R171 ปี 2006 สี บรอนซ์เงิน มาเกือบ 2ปี จนกระทั่งเอาไป มิด ฉลองวันตรุษจีน 08 เพราะว่าเจอทางออกหลอกบนสายเอเชีย ที่กม.52 ตรงทางออก ต่างระดับบางปะอิน ผลคือซัดกับขอบฟุตปาท ล้อหน้าซ้ายหัก ก่อนลอยขึ้นเอาใต้ท้องรถ Slide ยาว แล่นเป็น Mono Rail ไปบนสันกำแพง กั้นทางเป็นระยะซัก 20 เมตรก่อน จะหมดแรงส่งชะลอเอนลงด้านข้างหยุดโดยไม่พลิกคว่ำ (คงเนื่องจากตัวรูปทรงรถแบนราบ จุดศูนย์ถ่วงต่ำเลยบินได้โดยไม่พลิก)

ภาพจาก Iphone ที่ปรับแสงไม่ได้ ควักออกมาถ่ายตอนรถสงบนิ่ง กำแพง

ล้อหน้าซ้ายที่กระแทกกับฟุตปาท และหักกระเด็นไปทั้งล้อเหลือแต่โคนก้านติดกับดุมล้อ ทำให้ปีกนกและช่วงล่างด้านนี้เสียหายเกือบหมด และ ล้อที่หักกระแทกกับซุ้มล้อ และสปอยเลอร์ข้าง แตกเสียหาย


ด้านคนขับ มีรอยไม่มาก มีรอบครูดด้านซ้าย แถวซุ้มล้อ กระจกมองข้าง และ ประตู ซึ่งเกิดเนื่องจาก เบียดกับกำแพง ด้านนอก ตอนรถจะหมดแรงจะหยุดแล้วเอียงลงมา (กำแพงเป็นกำแพงคู่ ห่างกันประมาณ เมตรกว่าๆ กำแพงด้านใน ถูกใช้เป็นรางรองรับ ท้องรถ วิ่ง ส่วนกำแพงด้านนอก มาเบียดตอนรถหมดแรงเอียงลงไป โดนหนีบคาร่อง :P ทำให้ถุงลมนิรภัยด้านข้าง คนขับยิงออกมาตอนรถใกล้จอด ส่วนถุงลมใบอื่นทุกใบ ยังอยู่ปกติ ดี แต่การเบียดๆเบาตรงนี้ แหละเปลืองค่าอะไรไหล่เยอะมาก เพราะว่า นอกจากถุงลมนิรภัยด้านข้าง ที่ยิงออกมาเบาๆแบบไม่ช่วยอะไร แต่ต้องเปลี่ยนแล้ว มันส่งผลให้ต้องเปลี่ยน Sensor ของถุงลม 1 ชุด เซ็นเซอร์ที่คอพวงมาลัยหนึ่งชุด กล่อง Relay ที่ท้ายรถ อีกหนึ่งชุด และเซ็นเซอร์ที่มาพร้อมกับหัวล้อคที่เข็มขัดนิรภัย(ซึ่งระบบมันยิงออกมาพร้อมกันไปด้วย) เฉพาะส่วนนี้ ประมาณ 8 หมื่นบาทแล้ว และเมื่อรวม กระจกมองข้างด้านคนขับ ที่ทั้งชุดเกือบ 7 หมื่น และ ประตูด้านนี้อีกหนึ่งบาน กับแก้มหน้าด้วยแล้ว กำแพง ที่มาเบียดอันนี้ กินค่าอะไหล่ไป 30% ของอะไหล่ทั้งหมดเลย ไม่น่ามีกำแพง สองอันคู่เลย วุ้ย :)
สำหรับเครื่องยนต์ หลังหยุดนิ่ง ยังเดินเครื่องได้ ดี ระบบไฟฟ้า ต่างๆ ทำงานปกติ (แต่มาสังเกตุ พบว่าแคร้งน้ำมันเครื่องรั่วแตก ก็ปิดเครื่อง ซะก่อน)
เนื่องจากรถคันนี้ ไม่ค่อยได้ใช้บ่อย หลังจากประกันประเภท 1 สองปีแรก แล้ว ปีนี้ก็เลยเปลี่ยนเป็นทำประกันประเภท 3 เลย แจ๊คพ้อต ต้องซ่อมเอง
ตอนแรกนำเข้าไปที่อู่ ซึ่งเป็นศูนย์ซ่อมเบนซ์ ชื่อดัง แห่งหนึ่งแต่ว่า สงสัยเค้าเห็นผมเป็นหมอ ไม่รู้ว่านึกว่า หมูๆ หรือไม่รู้เรื่องรถ และรถไม่มีประกันต้องจ่ายเอง ไม่มีประกัน มาตรวจสอบให้ ก็เลยเจอการรื้อออกมา แล้วตีราคา แบบเหมา ไม่ชี้แจงรายละเอียด ให้ที่ราคา 1.3 ล้าน
ซึ่งผมเห็นว่าแพงเกินไป มากกว่าที่เราประเมินไว้เยอะ เลยขอให้แยกรายละเอียด ทำรายการซ่อมเสนอมาให้เหมือนกับ ที่อู่ทั่วไปทำใหกับ บ.ประกัน เพื่อประเมินความเหมาะสม และตัดสินใจ แต่ทางเค้าไม่ชี้แจงรายการให้ละเอียดว่าจะทำอะไร บ้าง ราคาประมาณเท่าไร เหมาะสมมั้ย แต่จะให้เซ็นรับการซ่อมที่ ราคา 1.3 ล้าน อย่างเดียว แถมด้วยวลีเด็ด ของท่านด็อคเตอร์ เจ้าของ บริษัท ว่า ผมรวยพอแล้ว ผมไม่สนใจเรื่องเงินทอง ถ้าจะทำกับผม อย่าเอาราคามาต่อรอง จะทำให้ผมทำงานไม่ได้

สุดท้าย ก็ต้องย้ายอู่ ทำ แม้ว่าจะไม่อยากย้ายเนื่องจากรถจะถูกรื้อกระจาย คนที่จะมาทำต่อ ก็ประเมินยาก และ ต้องเสี่ยง กับอะไหล่ ที่หายไปบางส่วน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ยังดีนะที่ ไม่คิดค่ารื้อผมด้วย :P แต่ไอ้ที่บอกว่าจะประกอบกลับคืนสภาพเดิมให้ผมเหมือนเดิมนั้น จริงๆ ก็คือ จับอะไหล่ยัดๆ แหย่ๆ เข้าไปตามตำแหน่ง เท่านั้น) ต้องย้ายมาทำที่อู่วีระชัย การช่าง แถวห้วยขวาง ซึ่งทำตัวถัง และสี ให้กับ เครือเบ็นซ์ทองหล่อ และ มีรถ ระดับ Hi Performance อย่าง Lamboghini Ferrafi Porche มาทำกันเยอะ ซึ่ง ผลงาน ต้องบอกว่าออกมาดีมากพอใจ แม้ค่าแรง สำหรับรอบนี้ จะแพงกว่าปกติ บ้าง แต่ถือว่า ยอมรับได้ ที่เค้าประเมิน การซ่อม ได้ยาก เนื่องจากรถถูกรื้อแล้ว
ส่วนอะไหล่ ได้ ร้านแถว วรจักรที่เพื่อนแนะนำ สั่งให้ จาก Daimler โดยตรง ได้ส่วนลด 30% สุดท้าย เมื่อซ่อมเสร็จออกมาค่าซ่อมรวมคันนี้ จาก 1.3 ล้าน ที่อู่แรกคิด กลายเป็น จบที่ ประมาณ 6 แสน ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผม คิดไ
วทั้งๆ ที่ อะไหล่เกือบทุกชิ้นที่มีปัญหาเปลี่ยนใหม่หมดโดยไม่ใช้การซ่อม ตั้งแต่ ปีกนก ลูกหมาก คานรับแท่นเครื่อง ชิ้นส่วนแก้มตัวถัง และประตู รวมทั้งฝากระโปรง คือจะเคาะซ่อมก็ได้ แต่เนื่องจากซ่อมใช้เอง ต้องการผลที่ดีเหมือนรถใหม่ เลย ให้เปลี่ยนใหม่หมด ก็จ่ายค่าอะไหล่ไปเยอะพอสมควร แต่ว่า เนื่องจากได้ส่วนลด 30%ก็ทำให้ ลดไปได้เยอะ (ราคานี้พร้อมกับการเปลี่ยนสี รถจากสีเดิม เป็นขาวมุกทั้งคันด้วยแล้วนะ ) ห่างกัน กับอู่แรก ที่ ตีเฉพาะการซ่อม เหมือนเดิม ถึง7 แสนกว่าบาท
(เรื่องราวที่อู่แรก ที่ว่ามีมากมาย เป็นประสพการณ์ อีกครั้งนึงที่ ต้องจดจำ รวมทั้ง ตอนแรก เค้าบอกว่าตัวถังบิดมาก ต้องเปลี่ยน โครงตัวถังทั้งคันด้วย มีรายละเอียด และหลักฐาน การนำเสนอเยอะ ไว้ว่างๆ จะรีวิวรายละเอียด เรื่องอู่ แรกไว้ให้เพื่อนๆ เป็นข้อสังเกตุ และระวังกันไว้
ส่วนต่าง ของราคา สองอู่นั่นเหลือเยอะมาก เลยจับเอามาแต่ง รถ ซะเลย (แต่แต่งเสร็จแล้ว มานึกได้ อ้าว ตังค์ ที่เหลือ นั่นมันก็ ตังค์ เราเองหนี่หว่า :P

หมดเรื่องปวดหัว มาดูหน้าตา รถที่แต่งเสร็จแล้วกันดีก่า :P
จาก รถ SLK R171 200 Kompressor Standard เดิม ที่ไม่ได้แต่งเลย จัดการเปลี่ยนสีเป็นสี ขาวมุกของ PPG ระหัสสี 0038 ซึ่งเป็น สี ยี่ห้อ และ ระหัสสีเดียวกับที่ออกจากโรงงาน เดมเลอร์ สำหรับ SLK รุ่นปี 2008 ส่วน SLK สีขาวๆ ของปีก่อนๆ หน้าที่ออกมา จะเป็นสีขาวธรรมดา คนล่ะระหัสกัน
สีขาวมุก Code 0038 สำหรับ SLK นี้ เป็นสี เดียวกับ ขาวมุก Code 9799 ของ CLS นั่นเอง

นอกจากเปลี่ยนสี แล้ว ก็ จับใส่ ชุดแต่ง Aero part ของ BRABUS ซึ่ง จะไม่ใหญ่ ดูอ้วนมากเหมือนกับ ชุดแต่งของ AMG ซึ่งเปลี่ยนกันชนหน้าทั้งอัน แต่ของ BRABUS จะเพิ่มลิ้นใต้กันชนหน้า เสริมเข้าไปกับกันชมเดิม และเปลี่ยนไฟสปอร์ตไล้ท์ หน้าจากดวงเดียวรีบนตะแกรงรังผึ้ง มาเป็นหลอดกลมคู่ด้านล่ะสองหลอด ช่องยึดสปอร์ตไลท์ใหม่จะทึบ มีช่องระบายลมรีสวยดี
ด้านข้าง ทั้งสองข้าง มีกาบสปอยเลอร์เสริมออกมาจากกาบเดิม ไม่มากนัก พอสวยงามไม่เทอะทะ

ด้านท้าย เสริมชายสปอยเลอร์และช่องตะแกรงลมสีดำสามช่องเข้าไป ตำแหน่งของท่อไอเสีย ก็เว้า ให้รับกับปลายท่อไอเสียใหม่ ของ BRABUS ที่ออกมา ปลายท่อกลมคู่ ปาดเฉียง แล้วก็เปลี่ยนเอา Logo BRABUS มาแทน LOGO SLK 200 เดิม

ปลายท่อไอเสีย ตอนแรกสั่งเฉพาะปลายท่อ คู่ สองด้าน มา กะใส่กับหม้อพักรถเดิม สองด้าน ตามไสตล์การแต่งรถเพื่อความสวยงามทั่วไป แต่พอดี หม้อพักเก่าลูกซ้ายมีรอยบุบด้านล่าง จากการกระแทก ถ้ามุดดูใต้ท้องก็จะเห็น ไหนๆ จะแต่งแล้ว เลยตัดสินใจ เอาหม้อพักเก่าทั้งคู่ แล้วเอาหม้อพักแต่งพร้อมปลายท่อ ของ BRABUS ทั้ง 2 ด้านมาใส่เข้าไปแทนหม้อพักเดิม ทั้ง 2 ลูก ซ้ายขวา ก็ออกมาโอเคเลย ได้เสียงท่อไอเสียที่เพราะกว่าของเดิม และดังกว่าเดิมเล็กน้อย พร้อมทั้ง Performance ที่เค้าว่า มันจะดีขึ้นอีกนิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :P

ชิ้นสุดท้าย ในชุด Aeropart ของ BRABUS ก็คือ สปอยเลอร์ที่ชายฝากระโปรงท้าย ขนาดเล็ก หรือที่หลายคนเรียกกันว่าหางเป็ด ชิ้นไม่โตมาก แต่ว่ามันเป็นไฟเบอร์ตันทำให้น้ำหนักที่กดกับฝากระโปรงท้ายเพิ่มขึ้นมาอพอสมควรเวลายกเปิด แต่ก็ยังคงเปิดค้างได้ ไม่หล่นลงมา เวลาปล่อยมือ เหมือนสปอยเลอร์ที่หนักมากๆ บางอัน

เปลี่ยนชุดแต่งไปแล้ว ล้อก็เลยต้องเปลี่ยนตาม ตอนแรก อยากใส่แค่ ล้อ 17 เท่าล้อเดิม เพราะว่าอยู่บ้านนอก ถนนไม่ดีนัก จะใส่ ล้อขนาดใหญ่ ก็ขับลำบาก แต่เพื่อนๆ หลายคนฟันธงว่า 17 เล็กไปไม่สวยแน่ต้อง 18-19 นิ้ว ในที่สุดก็พบกันครึ่งทาง ที่ ล้อ BRABUS Block VI 2 ชิ้นแท้ ขนาด 18 นิ้ว
ล้อหน้า ใช้ ขนาด 8 1/2 นิ้ว ใส่ยาง Bridgstone Adrenaline 225/40/18 กว้างเท่ากับยางเดิม 225/45/17

ส่วนล้อหลัง ใช้ ขนาด 9 1/2 นิ้ว ใส่ยาง Adrenaline 255/35/18 หน้ากว้างกว่า ของเดิม ที่ใช้ ยาง 245/40/17 อยู่หน่อยนึง

ผลของการเปลี่ยนล้อ ขนาดใหญ่ขึ้น และ ยางบางลง แน่นอน แม้ขนาดเส้นรอบวงรวม ของล้อและยาง จะใกล้เคียงของเดิม (กรณีนี้ ล้อหลังใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ) แต่ขนาดยางที่บางลง จะหลอกตา ทำให้ ดูเหมือนล้อมันห่างจากตัวถัง(ซุ้มล้อมาก) ทำให้คนส่วนใหญ่จะโหลด ลดความสูงของ สปริงลง เพื่อความสวยงาม
ตอนแรกก็ตัดสินใจ จะโหลดลงโดย ใช้ สปริงชุดแต่ง ของ ไอบัค Euro Spec เข้าไปแทนของเดิม ซึ่งจะลดความสูงทั้งสี่ล้อลง ประมาณ ล้อละ 1 นิ้ว แต่พอไปถึงร้าน เตรียมจะใส่แล้วเล็งตอนนั้นจริงๆ ดูเหมือนมันก็ไม่ห่างมากเหมือนตอนมองตอนแรก (ที่ลงมาจากแท่นใหม่ๆ)รวมทั้งคนแต่งเอง ก็บอกว่า โหลดลงอาจจะสวยขึ้น แต่น่าจะขับลำบาก สำหรับต่างจังหวัด สุดท้าย เลยถอยหลังกลับมาก่อน มาลองดูอีกซักพักตัดสินใจอีกที (แต่ยอมรับเลยว่า แค่ต่ำแค่นี้เจอสันเจอเนินก็แย่เหมือนกัน :P

และ จากการที่เป็นคนขับรถค่อนข้างเร็ว ก็เลยจัดการเปลี่ยนเอาชุดเบรคหน้า 4 พอร์ต ของ AMG พร้อมจานหน้าขนาดใหญ่ มาใส่แทนของเดิม ซึ่ง ก็ช่วยให้การเบรค ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะทีเดียว โดยไม่รบกวนการทำงานของ ABS และ ระบบ BAS และ VSC รถ แต่ อย่างใด

มาถึงของเล่นอีกชิ้น เป็นครีบโครเมียม ติดกับตะแกรงดักลม ของ เชทซ์ ผู้ผลิตของตกแต่งใหักับเ MB รายใหญ่ รายนึงของเยอรมัน ที่ทำมาแต่งให้กับ SLK โดยเฉพาะ โดยครีบ ทั้ง 3 อัน จะยึดติดกับตะแกรงดักลมของเดิมได้พอดี ทำให้รถดูสวยดุขึ้น
และ ในชุดนี้ จะมีครีบพร้อมตะแกรงหลอก ติดตัวถังที่ซุ้มล้อหน้า เหนือ คำว่า Kompressor ของเดิม คล้ายกับช่องระบายลม ในสปอร์ตรุ่นพี่ SL

รูปนี้ เป็นตำแหน่งที่ติดมาครั้งแรก ที่ดูเหมือนจะสวย แต่ว่าเช็คตำแหน่งแล้ว มันต่ำ กว่าตำแหน่งที่ติด ของ SL ปกติ เลยจัดการ ขยับขึ้นไปอีกประมาณ 5 ซม. :) มาเป็นตำแหน่งเหมือนที่เห็นในรูปอื่นๆ :P

Tone สีภายในรถ ของเดิมเป็นสีดำล้วน ตัดกับสี Aluminium Anodised แต่ พอเปลี่ยนสีรถเป็นสีขาว มุก เลยอยากให้ มันสีสดใส จะใช้ สีแดงคล้ำ ของ SLK ใหม่ ก็ดูแล้วมันมืดไปเลยตัดสินใจ ใช้ Tone แดงสด ของ SLR แทน โดยใช้หนังแท้ สีแดง หุ้มเบาะทั้ง 2 ตัวพร้อมหมอนพิง พร้อมปิดแผงข้าง ทั้งสองด้วย หนังสีเดียวกัน รวมทั้งเบรคมือ และ ถุงหุ้มเกียร์
ส่วนหนังหุ้มพวงมาลัย ใช้ สีแดงเดียวกับเบาะ ตัดกับ ดำ

เวลาเปิดหลังคา แล้ว สีขาวมุกของตัวรถ กับ สีแดง-ดำ ภายใน ตัดกัน ดูสนุก ดี ไม่จืดชืด เหมือน ตัวเก่า แล้ว :P

มาลองดูมุมอื่นๆกัน
V
V
V

แต่งมาถึงตอนนี้ ต้องบอกว่า ได้ความรู้สึก เหมือน เปลี่ยนรถใหม่ทั้งคันเลย ยังเหลือที่จะทำ นอกจากการแต่งเครื่องยนต์แล้ว ภายนอก นี่กะว่า จะลองใช้ไปซักพัก ถ้าเบื่อๆ แล้ว อาจจะลอง ถอดล้อ ชิ้นใน(ก้านล้อ) ทั้งหมด ออกมาทำสีเทาเข้ม เหลือเฉพาะขอบล้อ กับ น้อต ไว้เป็นสีเงาขาว Hyper ซึ่งจากที่ลอง Retouch ดูด้วย Photo Shop มันก็ขับสีมุกให้ดู ออกมาดุดี :P

ล่าสุดตอนนี้แอบเอาไป Wrap หลังคา สี Hyper black (ดำเงาพิเศษ) ให้ดูคล้าย Glass Roof เปลี่ยนบรรยากาศเล่นๆ อิๆ

Visit Jfk Car Gallery

www.2jfk.com

มีข้อแนะนำ หรือ ข้อมูลเพิ่มเติมแนะนำได้ครับ

jfk@2jfk.com