-=Jfk=-Science Corner

+

สมองส่วนกลางมีหน้าที่เรื่องการเรียนรู้จริงหรือ
และคนเราสามารถมองเห็นผ่านสมองส่วนกลางแทนตาได้จริงหรือ

ในช่วงเดือนกรกฏาคม 2553 ที่ผ่านมา หลังจากมีรายการทีวีรายการหนึ่ง ได้ ออกอากาศ รายการ ที่นำเสนอเด็ก ที่เข้ารับการอบรม จากสถาบันที่ บอกว่าเป็นการสอนให้ใช้สมองส่วนกลาง ที่มีการโฆษณาเผยแพร่ ในอินเตอร์เน็ตและสื่ออื่นๆ โดยใช้ชื่อช่วงการ นำเสนอ เลียนแบบหนังดัง "X-MEN" หรือคนที่มีความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ ของมนุษย์ทั่วไป
วัตถุประสงค์ของการอบรม ตามที่โฆษณา ไว้ในรายการนั้น และ ในเว็บไซด์ ของทางสถาบัน บอกว่าเป็นการฝึกใช้งานสมองส่วนกลาง (Mid Brain หรือ Mesencephalon ) ที่ปกติคนเราไม่ค่อยได้ใช้งานให้มาทำงานได้ดีขึ้น โดยอ้างว่า จะทำให้เกิดประโยชน์คือ
ช่วยให้เด็กมีสมาธิ ดีขึ้น
ระดับความจำ ดีขึ้น
มีความสามารถทางด้านกีฬา ดีขี้น
ความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้น
ระดับฮอร์โมนร่างกายสมดุลดีขึ้น
มีความสมดุลย์ของสมองซ้ายขวา ดีขึ้น

โดยมีหลักสูตรการอบรม สองวัน ค่าเรียน 12,000 -15,000 รับ เฉพาะเด็ก อายุ 6-12 ปีเท่านั้น เข้ารับการฝึกอบรม โดยระหว่างอบรม จะห้ามผู้ปกครองเข้าไป ดูการเรียนการสอน ให้เฉพาะเด็กเท่านั้น ที่เข้าไปเรียน
มีการกล่าวอ้างว่า ประโยชน์จากการฝึกสมองส่วนกลางตามที่กล่าวไว้ข้างบนนั้น อ้างว่ามีหลักฐานทางด้านวิชาการแพทย์รับรอง
ข้ออ้างข้างบน ที่บอกนั้น เราไม่สามารถมองไม่เห็นเป็นรูปธรรม หรือ พิสูจน์ รู้เห็นได้ เด่นชัด
แต่
ทางสถาบันได้ มีการกล่าวอ้างว่า เด็กที่เข้าอบรมฝึกฝนแล้ว ประมาณ 95 ถึงเกือบ100 % ขึ้นไป สามารถมองเห็น ได้โดยใช้คลื่นที่ปล่อยออกมาจากส่วนกลาง แทนการมองเห็นด้วยตาได้

ซึ่งเมื่อ ใช้ฝึกสมองส่วนกลางใช้งานได้ แล้ว ส่งผลให้ สามารถทำกิจกรรมต่างๆ เช่นอ่านหนังสือ วาดภาพระบายสี ขี่จักรยาน เล่นสเก็ตบอร์ด หรือ หมุนรูบิก โดยการปิดตาได้ ตลอดจนรวมไปถึง การใช้การดม คลำ และ สัมผัส หรือการเอาสิ่งของ มาถู กับ เส้นผมบนศรีษะ ก็สามารถ บอกสี หรือ เห็นตัวหนังสือต่างๆได้

เรื่องนี้ ได้มีการถกเถียง วิจารณ์ กัน อย่างกว้างขวาง ทั่วไปหลังจากที่รายการได้ออกอากาศเผยแพร่ออกไป แล้วทั้ง ในหมู่แพทย์ และ กระดานสนทนา(Webboard ) สุขภาพ และ วิทยาศาสตร์ ตลอดจน เว็บบอร์ด ทั่วไป ใน โลก Internet อย่างกว้างขวาง ว่า เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องจริงหรือไม่

ว่าการฝึกฝนดังกล่าว มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตามที่กล่าวอ้าง
และ ช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆโดยไม่ใช้ตาได้จริงหรือไม่

 

ลองมาดูความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน กับ ข้อมูลที่ขัดกับหลักวิชาการแพทย์

ในฐานะแพทย์คนนึง และ เป็นคนที่สนใจ ทางด้านวิทยาศาสตร์ และได้ ติดตามชมรายการนี้ในวันนั้น เช่นกัน เพราะว่า โดยส่วนตัวชื่นชม พิธีกรคนโปรดผม ที่จัดรายการได้สนุกสนานน่าติดตาม ก็เลยติดตามชม รวมทั้ง ถ้าไม่ว่างก็ ตั้ง บันทึก DVD ไว้เปิดชม ภายหลัง
สำหรับรายการในวันนั้น ในส่วนของเรื่องการฝึกสมองส่วนกลาง เมื่อพิธีกรในรายการถาม เจ้าของโรงเรียน และเป็นครูผู้สอนด้วย ว่า สมองคนเรามีกี่ส่วน เค้าให้คำตอบว่าทั่วๆไป ก็มี 2 ส่วน คือส่วนซ้าย และ ขวา แต่ที่เค้าฝึกนี่คือ ฝึกให้สมองส่วนกลาง อันเป็นส่วนเชื่อมสมอง 2 ข้างเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดสมดุลย์ของสมอง
อันนี้ ฟังตอนแรกทำให้ผมเข้าใจผิด คิดว่า สมองส่วนกลางที่เค้าว่าหมายถึง คือ Corpus Callosum ซึ่งเป็นสะพานเชื่อม สมองส่วนหน้า ในส่วนของ Cerebrum 2 ซีก ซ้ายขวา เข้าด้วยกัน
แต่ เมื่อติดตามไป อ่านจากในเว็บที่เค้าโฆษณา พบว่าการฝึกใช้สมองส่วนกลาง ที่พูดถึงนั้น คือ การฝึก
Mid Brain หรือ “mesencephalon” โดยยังคงบอกว่ามัน เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสมองซีกซ้าย และสมองซีกขวา และคนทั่วไป สมองส่วนนี้ และ ยังคงหลับหรือนิ่งอยู่
การฝึกดังกล่าว อ้างว่าจะทำให้สมองส่วนกลางได้รับการกระตุ้น ทำให้พลังของสมองซึ่งถูกควบคุม และเก็บซ่อนความสามารถเอาไว้อย่างมากมายก็จะถูกปลดปล่อยออกมา การปิดตาฝึกเป็นทางลัด ในการ ปลุกสมองส่วนกลางให้ตื่นขึ้น ภายในสองวัน ที่รับการอบรม และบอกว่า มาหากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอต่อไปก็จะเป็นหนทางในการพัฒนาสู่ความเป็นอัจฉริยะได้ และ ขณะเดียวกัน ก็ จะทำให้สามารถมองเห็น โดยไม่ต้องใช้มองผ่านตา แต่ใช้การมองผ่านคลื่นของสมองส่วนกลางแทน

พอฟัง และอ่านตรงนี้แล้ว ทำให้คิดได้ว่า น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อาจจะโดยการรับฟังข้อมูลมาบางส่วน แต่ที่ไม่ได้ศึกษาละเอียด ทำให้เข้าใจผิด และ ยกเอา เรื่อง "สมองส่วนกลางมามองเห็นแทนตา มาเป็น เครื่องนำเสนอจูงใจ เนื่องจาก แม้สมองส่วนกลาง มีหน้าที่บางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องตาจริง แต่ไม่ใช่ หน้าที่ในการมองเห็นแต่อย่างใด "

 

มาทำความรู้จักของ สมองคนเรากัน คร่าวๆ
(เผื่อจะได้เข้าใจได้มากขึ้น ว่าเหตุใดบางคนจึงคิดว่าสมองส่วนกลาง จะช่วยให้มองเห็นได้)

สมองคนเราแบ่งเป็นออก 3 ส่วนหลักๆ โดยแบ่งตาม การพัฒนาการจากเนื้อเยื่อที่จะพัฒนาไปเป็นสมอง ( Brain Vessicle )ในตอนยังเป็นตัวอ่อน(Embryo) ทั้ง 3 ส่วน
1 สมองส่วนหน้า Forebrain หรือ Prosencephalon
2 สมองส่วนกลาง หรือ Midbrain หรือ Mesencephalon
2 สมองส่วนท้าย Hindbrain หรือ Rhombencephalon

สมองส่วนหน้า Forebrain หรือ Prosencephalon (สีเทา) สมองส่วนนี้ อาจจะแบ่งย่อยออกเป็นสองหลักคือ
1.Telencephalon อันนี้คือสมองส่วนที่ใหญ่ที่สุดที่เรียกว่า Cerebrum มี 2 ซีกซ้าย และ ขวา (Right and Left Hemisphere ) ที่เรารู้จักกันดี โดยส่วนผิวของมันมีสีเทาเข้ม เรียกว่า Grey Matter เป็นที่รวมของตัวเซลประสาทต่างๆกระจายทั่วไป และ ลึกไปด้านใน จะเป็นส่วนที่มีสีขาวกว่า เรียกว่า White Matter ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นเส้นใยประสาโดยมี ส่วนที่เชื่อมต่อมันสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน คล้ายสะพาน เรียกว่า Corpus Callosum  
สมองใหญ่หรือ Cerebrum  ในสมองส่วนหน้านี่แหละที่เป็น ศูนย์รวมการเรียนรู้  ความจำ อารมณ์ ความรู้สึก การได้ยินการพูด การมองเห็น ต่างๆ เกือบทั้งหมดของคนเรา จะฝึกจะเรียนอะไร ก็ป้อนมาไว้ที่นี่ อันนี้ เหมือน กับเป็น CPU ของคอม ที่มีทั้ง Chipประมวลผล และ มี Ram และ Hard Disc เก็บข้อมูลครบเลย ดังนั้นการเรียนรู้ต่างๆ ของคนเรา มันขึ้นกับสมองส่วนนี้ ครับ

2.Diencephalon เป็นอีกส่วนของสมองส่วนหน้า อันนี้ขนาดค่อนข้างเล็กซ่อนตัวอยู่ใต้ สมองใหญ่ข้างบน ประกอบด้วยสมอง ส่วนที่พวกเราอาจจะไม่คุ้นชื่อมากนักอย่าง พวก Thalamus ,Hypothalamus และต่อม หรือ ที่สร้างฮอร์โมนที่ทุกคนรู้จักกันดี คือ "Pituitary Gland หรือต่อมใต้สมอง" ที่ บางคนเรียกมันว่า Master Gland of Endocrine System เนื่องจากมัน เป็น ศูนย์รวมควบคุมการทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆ ในการสร้าง ฮอร์โมนของร่างกาย คนเรา ส่วนใหญ่ รวมทั้งเป็นตัวผลิต Growth Hormone ที่เร่งการเติบโต เพิ่มความสูงให้คนเรา และ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่ โดนนำไป ใช้ในการหลอกขายยา และสินค้าหลายตัว กันบ่อยๆ รวมทั้ง ต่อมเหนือสมอง Pineal Gland ซึ่ง บางคนเรียกว่า ตาที่สาม อันเป็นอีกจุดที่ชวนให้หลงผิด คิดว่า มันช่วยให้มองเห็นแทนตาได้ ที่จะกล่าวถึง เป็นพิเศษต่อไป ข้างล่าง
ปกติแล้วสมองส่วน Diencephalon จะเป็นตัวส่งผ่านกระแสประสาท รวมทั้งความรู้สึกเจ็บปวดต่างๆ ไปยังสมองส่วนบน และ ยังช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ตลอดจน การสร้างพวก ฮอร์โมนต่างๆ และ คอยทำหน้าที่ปรับสมดุลย์ต่างๆ เช่นอุณหภูมิของร่างกาย ให้ด้วย

สมองส่วนท้าย หรือ Hindbrain หรือ Rhombencephalon อันนั้นมีส่วนประกอบหลักคือ สมองน้อย หรือ Cerebellum  ที่เป็นสมองที่ควบคุมเรื่องการทรงตัวและ บาลานซ์การเคลื่อนไหวต่างๆของร่างกาย เรา และ สมองส่วนท้ายหลักอีก 2 อัน คือ 2 ส่วนล่างของก้านสมอง (Brain Stem )
ก้านสมองหรือ (Brain Stem) แบ่งออก เป็น 3 ส่วน ส่วนบนสุด คือ Midbrain (ที่จะกล่าวถึงต่อไป) ส่วนกลางของ ก้านสมองเรียกว่า Pons และ ส่วนล่างสุดของก้านสมอง เรียกว่า Medulla Oblongata  ส่วนนี้จัดเป็นศูนย์ชีวิต (Vital Center) ควบคุมพวกการเต้นของหัวใจ และ การหายใจ ถ้าเกิดโรคหรือ อันตรายต่อสมอง เช่นมีการติดเชื้อมีเลือดคั่ง สมองช้ำ เกิดการบวมของสมองมาก และทำให้สมองบวมกดมาถึงบริเวณนี้ มากๆก็ทำให้ หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้นตายได้ (ซึ่ง 2 ส่วนล่างนี้ จัดอยู่ในสมองส่วนท้าย (Hind Brain)


รูปแสดงส่วนของ ก้านสมอง (Brainstem ) และ เส้นประสาทสมองใกล้เคียง

ส่วนสมองส่วนกลาง Mesencephalon หรือ Midbrain เป็นสมองส่วนเล็กๆเป็นส่วนบนสุดของก้านสมอง (Brain Stem) มีส่วนประกอบสองส่วนหลักคือ Cerebral Peduncle ซึ่งเป็นเหมือนก้านที่ยื่นขึ้นไปยึดต่อกับสมองส่วนบน ภายในมีเส้นประสาทต่างๆทอดอยู่เป็นมัดๆ(ในรูปข้างบน Crus Cerebri ทั้งสองข้างที่ยื่นขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของ Cerebral Peduncle ทั้ง 2 ข้าง) ตรงนี้ เป็นส่วนที่มีกลุ่มเส้นประสาท ที่ทอดผ่านมาจากสมองข้างบน และจะส่งผ่านลงไปยังส่วนล่างของสมองหรือไขสันหลัง เหมือนทำหน้าที่ท่อส่งผ่านเส้นประสาทต่างๆ
แต่ในบริเวณ ของ Midbrain นี้มัน กลุ่มเซลประสาทของเส้นประสาทสมอง (Cranial Nerve) บางตัวอยู่ด้วย เช่นที่ บริเวณ Superior colliculus และ Inferior colliculus ในภาพ
และนื่องจากที่ Mid Brain มันมี เซลประสาท ( Nuclei )ของเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับ ตา อยู่ 2 คู่ คือ เซลประสาท ของเส้นประสาทสมอง คู่ที่ 3 (Oculomotor nerve) และ คู่ที่4 (Trochlear nerve)
อันนี้ ทำให้ คิดว่า อาจจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ คนที่ทราบผิวเผิน จะคิดว่า สมองส่วนกลาง หรือ Midbrain จะเกี่ยวกับการมองเห็น หรือ ทำให้เห็นได้
แต่ในความเป็นจริง แล้ว สมองส่วนกลาง ไม่ได้เป็นตัวรับภาพ หรือ มองเห็นภาพ ได้แทนตา เพราะว่าเส้นประสาททั้งสองเส้น คือ คู่ ที่ 3 และ คู่ที่ 4 ที่บอกนั้น แม้จะทำงานเกี่ยวกับตา แต่ก็ไม่ได้มีหน้าที่รับภาพ และ เกี่ยวข้องกับการมองเห็น แต่ว่ามันทำหน้าที่ ในการควบคุมพวกกล้ามเนื้อตา ให้กลอกตาไปมารวมทั้งกวาดตาขึ้นลง รวมทั้งกรอกตาไปรอบๆกับ ช่วย ยกหนังตา ให้ลืมตากระพริบตา ตลอดจนควบคุม Reflex ของม่านตาในการเปิดปิด เท่านั้น นั่นคือ เส้นประสาทสมองที่เกี่ยวกับตา ในสมองส่วนกลางทั้ง 2 เส้นนี้ มันทำหน้าที่สั่งการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับตา (ภาษาทางการเรียกว่าเป็น Motor Nerve หรือเส้นประสาทสั่งการ) ไม่ใส่ เส้นประสาท ที่ใช้รับสัญญานกลับเข้าสู่สมอง (Sensory Nerve หรือเส้นประสาทรับรู้)
ส่วนเส้นประสาทที่ เป็นตัวรับสัญญานการมองเห็นภาพ และสี โดยรับภาพจากตาไป ยังสมอง เพื่อให้สมองแปลผลเป็นภาพนั้น มันคือเส้นประสาทตา คู่ที่ 2 หรือ Optic Nerve ซึ่งเป็น Sensory Nerve(เส้นประสาทที่ใช้รับรู้) โดยจะรับสัญญานภาพจากตา ส่งไปยัง สัญญานภาพ จากตากว่า 90% ไปยังสมองส่วน Lateral Geniculate Nucles ที่ Thalamus แล้ว ส่งต่อสัญญาน ไปยังตัวประมวลผลสุดท้ายของสมอง ที่ Visual Cortex ซึ่งอยู่ ใน ส่วนท้ายทอย (Occipital Area ) ของ Cerebrum ในสมองส่วนหน้า ดังนั้นในบางคนที่ประสบอุบัติเหตุ ตรงท้ายทอย รุนแรงทำให้เนื้อสมองส่วนที่ ประเมินผลการรับภาพเสียหาย ก็จะทำให้มี ตาบอดได้ ทั้งที่ดวงตา ยังปกติดี ถ้าเสีย ทั้งสองข้าง พร้อมกัน ก็ทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้างได้เช่นกัน
สำหรับสัญญานภาพและแสงจาก ตาที่ส่งมาตามเส้นประสาทคู่ที่ 2 อีกประมาณ 10% จะส่ง ยัง บริเวณที่เซลประสาทคู่ที่ 3 และ 4 อยู่ เพื่อนำสัญญานภาพ จากตาไป ส่งให้ เพื่อกระตุ้นให้เกิด Reflex สั่งการ กรอกตามองตา ตามภาพและแสงตามที่บอกไว้เท่านั้น ไม่ใช่ เพื่อการมองเห็น


รูปเส้นทางการเดิน ของสัญญานภาพจากตาทั้งสองข้าง ที่ส่งไปยังสมองส่วนต่าง

จะเห็นได้ว่า หลักฐาน ทางการแพทย์ ปัจจุบัน ไม่พบว่า สมองส่วนกลางจะสามารถส่งคลื่นผ่านออกไป หรือ รับคลื่นผ่านเจ้ามา ทางอวัยวะอื่นๆ แทนตา ได้ แต่อย่างใด
หน้าที่ในการรับภาพ เป็นของตา หน้าที่ในการประเมินผลออกมาเป็นภาพ เป็น ของ Visual Cortex ของสมองส่วนหน้า
และที่สำคัญสมองส่วนกลาง เราทุกคน ใช้งานมันตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ได้หลับไหล แต่อย่างใด โดยใช้ เป็นทางผ่าน สัญญาน ประสาท ทั้งการรับ และ ส่ง จากสมองส่วนหน้าที่เป็นกองบัญชาการ หลักของเรา ไปยังสมองส่วนอื่น ,ไขสันหลัง ตลอดจนไปยังอวัยวะต่างๆ และรับ สัญญานผ่านกลับเข้ามา ด้วย
และ แม้ถ้าคิด ถึงหน้าที่หลัก ของสมองส่วนกลางใน ส่วนที่เกี่ยวกับตา ของ สมองส่วนกลางที่ มันทำหน้าที่ ควบคุม Reflex ในการกรอกตา และหรี่ หรือขยายม่านตา นั้น มันต้องอาศัย การรับภาพ และแสงจากตา ดังนั้นการ ปิดตา รับแสงกระตุ้นเข้าไปในสมอง มันเท่ากับว่ามันไป ลดการการทำงาน ของสมองส่วนกลาง มากกว่า ที่จะไปกระตุ้นปลุกมันขึ้นมาด้วยซ้ำไป

Pineal Gland คือ ดวงตาที่ 3 จริงหรือ

ต่อมไพเนียล หรือ ต่อมเหนือสมอง (Pineal gland) หรือ Pineal Bodyเป็นต่อมไร้ท่อเล็กๆ ขนาดพอๆกับเมล็ดข้าว ยาวประมาณ 05-1.0 cm รูปร่าง เมล็ดสน (pine cone) อันเป็นที่ ชื่อ pinel gland แทรกอยู่กล้าง สมองใหญ่ Cerebral Hemisphere ทั้งสองข้าง
หน้าที่อันนึง ของต่อมไพเนียล คือการสร้าง สาร Melatonin และ Serotonin โดยมีความสัมพันธ์กับแสง โดยจากการศึกษาพบว่า ในเวลากลางวันที่ คนเราตื่น อยู่กลางแสง ได้รับแสงผ่านทางตาเข้าไป สัญญานการรับแสงบางส่วนที่ได้รับผ่านทาง เส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 Optic Nerve บางส่วนจะไปกระตุ้นให้ ต่อมไพเนียล ทำการสร้าง Serotonin ขึ้น ซึ่งสารดังกล่าว จะทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉงพร้อมทำงาน ในวันใหม่ แต่ ตกค่ำเมื่อแสงน้อยลงการกระตุ้นต่อมไพเนียล จะลดลง ต่อมไพเนียล จะสร้าง สาร Melatonin ขึ้นมาแทน สาร Melatonin มีส่วนในการทำใหร่างกายรู้สึกง่วง และอยากพัก หลับได้ดี ซึ่งเมื่อ ได้รับการกระตุ้นจากแสงสม่ำเสมอ ติดต่อกันนานๆ ร่างกายเราจะปรับตัวตื่น และหลับ เป็นเวลาเหมือนมี ต่อมไพเนียลเป็นนาฬิกา ชีวภาพประจำตัว
ในคนที่เดินทางไกลข้าม Time Zone มากๆ เมื่อถึงจุดหมายใหม่ ที่เวลาแตกต่างกับ ต้นทางเยอะ จะทำให้ คนนั้นปรับตัวนอนตามเวลา ท้องถิ่นใหม่ไม่ได้ เกิดอาการเหนื่อยล้า หรือ Jet Lag ซึ่งการใช้ Melatonin จากภายนอกเข้าไปชดเชยแทน Melatonin ที่ร่างกาย เรายังสร้างไม่ได้สอดคล้องกับเวลาใหม่ ก็จะช่วยให้ได้พักผ่อนหลับดีขึ้น บรรเทาอาการ Jet Lag ได้
รวมไปถึงคนที่ทำงาน ผิดเวลาในตอนกลางคืน ทำให้เมื่อถึงเวลา เช้า หรือกลางวัน แล้วจะเข้านอน ก็นอนไม่หลับ ก็ใช้ Melatonin สังเคราะห์ บรรเทาอาการได้
นอกจากนี้ ยังพบว่า สาร Melatonin ยังมีส่วนสำคัญในการ ชะลอการหลั่งฮอร์โมนเพศ ซึ่งจะทำให้คนเป็นหนุ่มเป็นสาวช้าลง ได้
สำหรับความเชื่อเรื่อง Pineal Gland กับการมองเห็น มาจากการที่ Salamander ซึ่งเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และจัดสัตว์มีกระดูกสันหลัง( Vertebrate) ชนิดแรกของโลก บางพันธ์ มี ตาที่สาม ลักษณะเป็นเกล็ด ใช้เป็นเซลรับแสง และ เชื่อกันว่าตาที่สาม ของ สัตว์ชั้นต่ำอย่าง Salamander นี้ ต่อมาได้พัฒนา ยุบหดเข้าไปกลายเป็นต่อมไพเนียลในคน ที่มีลักษณะของเซลเนื้อเยื่อ บางอย่างคล้ายเซลรับแสง
เรื่องนี้ยังโยงไปถึงความเชื่อเรื่องการนั่งสมาธิ เพื่อเปิดตาที่สาม หรือ ตาทิพย์ ที่บางคน คิดว่า มันคือ Pineal Gland ด้วย แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น การนั่งสมาธิเพื่อเปิดตาที่สาม จะเป็นเรื่องจริงหรือ ไม่ สามารถทำให้เห็นอดีต หรืออนาคตจริงหรือไม่ เป็น
ความเชื่อ กึ่งศาสนา แต่ การฝึกฝน ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานาน ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ ทั้งที่มีคนรอท้าพิสูจน์กํนมากมาย ถามไปเค้าก็ว่า มีคนรู้ ทำได้ แต่ว่าแสดงให้ดูไม่ได้

อันนี้ เห็นว่าอาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ อาจจะมีการใช้กล่าวอ้าง ว่าเป็นการฝึกให้มองเห็นโดยไม่ใช้ตา แต่ว่า หลายคนที่อ้างว่า เปิดตาที่สามได้ นั่น ก็ใช้เวลา และการฝึก อย่างจริงจัง นาน และ มีคนจำนวนน้อยมาก ที่อ้าง(ว่าฝึกสำเร็จ) แต่นี่เด็กปิดตา 2 วัน แล้ว บอกว่าเป็นทางลัด แถม แสดงโชว์ได้ ก็ ทำให้คิดว่า มันเป็นเรื่อง ผิดปกติ ที่ควรแก่การตั้งข้อสังเกตุ และน่าที่จะมีการพิสูจน์กัน เป็นอย่างยิ่ง

" ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ก็คือ ในปัจจุบัน ไม่มีการพบว่า ต่อมไพเนียล มีหน้าที่ ในการมองเห็นรับภาพ แต่อย่างใด "

เรื่อง สมองถ้าเรียนกันจริงเรียนกันเป็นปีๆ วุ่นวายซับซ้อน อาจจะเข้าใจยากหน่อย พยายามสรุปสั้นๆให้ชื่อภาษาอังกฤษกำกับไว้สำหรับผู้สนใจค้นคว้าต่อ แต่สำหรับผูที่ต้องการอ่านเพื่อแค่ทำความเข้าใจ อ่านแต่ภาษาไทยก็ได้ครับ

อ้อ สำหรับท่านที่บุตรหลานที่เรียนมาแล้ว กลับมาสนุกกับการปิดตา เล่นเกมส์ หรือ ปิดตาอ่านหนังสือ ฝากดูแลด้วย ทดสอบให้ดีด้วยครับเพราะว่า ถ้าเป็นการมองลอดผ้าลงมาดังกล่าว โดยเด็กอาจจะรู้ หรือไม่รู้สึกตัว การทำอย่างนั้นบ่อยอาจจะส่งผลเสียต่อสายตาของเด็กได้ ลองทดสอบและสังเกตุให้ดีตามที่บอกไว้เพื่อบุตรหลานของเราเอง ด้วยครับ

ขอบคุณ อจ.ศิวาพร (พี่เนะ) หัวหน้าแผนกโรคทางสมอง และอายุกรรมประสาท (Neuro Medicine ) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ที่เป็น ทั้ง อาจารย์ และ พี่สาวที่น่ารักของผม ที่ให้คำปรึกษา และข้อเสนอแนะ ทางวิชาการที่น่าสนใจ ในการเขียนบทความนี้

ขอบคุณมากครับ พี่ :)

ถ้าสมองส่วนกลาง "ไม่ได้เห็น" แทนตา แล้วทำไมใช้ผ้าปิดตายังมองเห็นได้

ข้อสงสัยที่หลายคนสงสัยของหลายคนที่ดูรายการแล้ว สงสัยว่าทำไมเด็กที่ใช้ผ้า ปิดตาแล้วยังมองเห็น ทั้งที่ตามความรู้สึกแล้ว เราคิดว่าควรจะมองไม่เห็น แต่ในรายการทีวี พบว่า ยังคงเห็นได้ นั้นเกิดจากอะไร
บางคนคิดว่า ผ้าที่ ใช้เป็นผ้าพิเศษที่มองทะลุผ่านได้เหมือนการเล่นกล
บางคน คิดว่า เด็ก มองด้วยสมองส่วนกลางได้จริง ทำให้คิดตามไปต่อว่า สิ่งกล่าวอ้าง ถึงผลดีๆต่างๆของการฝึกสอนนั้น ก็น่าจะจริงตามไปด้วยหรือ ส่งผลให้ มีพ่อแม่จำนวนมาก ส่งลูกหลาน ตามไปเรียนกัน
แต่ก็มีคนส่วนใหญ่ รวมทั้งผม ที่ดูจากรายการแล้ว ประกอบกับประสพการณ์ส่วนตัว และการทดลองกับตัวเอง และคนใกล้ชิด เชื่อว่า มันคือทริค ในการสอนให้เด็กมองผ่านช่องลอดด้านล่างของผ้า ส่วนการแสดงอื่นๆ นั่น ก็มีข้อสังเกตุ ถึงความผิดปกติหลายอย่างที่ชวนให้ท้าพิสูจน์ ความจริง กันให้ เด่นชัด
อันนี้ ขอเพิ่มข้อมูลวิชาการ
ทางการแพทย์ บางอย่าง รวมทั้ง ทริคง่ายๆ ไว้ให้ทราบกัน เผื่อจะใช้ทดลองกับตัวเอง หรือสอนเด็กที่บ้านเล่น เรื่อง ทริคการมองผ่านผ้าปิดตา โดยไม่ยุ่งยากอะไร และไม่สิ้นเปลืองใดๆ ทั้งสิ้น

ตาคนเราปกติ เวลาไม่มีอะไรปิด เรามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ว่ามุมมองตาเราไม่ได้เห็นแต่ภาพข้างหน้า แต่ออกแนวกว้างไปทั้งสองข้างได้เกือบๆ 180 องศา
สำหรับมุมมองด้านล่าง เมื่อมองตรงก็ยังมองลงไปต่ำได้เยอะมากทีเดียว และแน่นอน ยิ่งถ้ามีการกรอกตา เราจะมองเห็นมุมได้กว้างขึ้นหรือ มองกดตากดลงไปให้เห็นเห็นได้ต่ำลงไปได้อย่างมาก โดยไม่ต้องขยับศรีษะเลย

ดังนั้นการที่มีผ้าปิดตา แล้วเราลืมตาแม้ผ้าที่ปิดตานั้น แต่ปกติแล้ว คนเรามีสันจมูก ทำให้เกิดช่องระหว่าง สันจมูกกับแก้ม ซึ่งจะส่งผลให้ทำให้ผ้าที่ปิดนั้นไม่ได้แนบไปกับแก้มเต็มที่ จะมีช่องว่างเล็กๆตรงข้างจมูกนั่นซึ่งสามารถมองเห็นลงมาด้านล่างได้ หรือจะเรียกว่า มองลอดมาก็ได้

ความสามารถในการมองกดลงมาหลังปิดผ้าของคนเรา มองได้ไม่เท่ากัน
นอกจากนี้ การผูกผ้าแน่น หรือสันจมูกโด่งหรือไม่ ก็มีส่วน
ถ้าสันจมูกต่ำหรือผูกผ้าแน่นมากๆจนช่องปิดด้านล่าง แนบสนิทมากกๆก็จะมองลอดลงมาได้ยากขึ้น

เท่าที่ดูจากรายการวันก่อน โดยการ Replay DVD ที่อัดไว้ดูย้อนหลังหลายรอบ พบว่า เค้าผ้ากันที่ระดับใต้ตาเล็กน้อย ยกเว้นน้องคนนึงที่เสริมกระดาษ นั่นปิดลงมาถึงระดับปีกจมูก เลยทดลองปิดกับ Nurse Aid ที่รพ.ผม โดยไม่ได้มีการฝึกสอน แต่อย่างใด

ปิดด้วยผ้าเช็ดหน้า Haley ที่ใช้ปิดกันแดดเวลา ขี่มอร์เตอร์ไซค์ เป็นผ้าฝ้ายทอทึบเนื้อผ้าละเอียดแสงลอดแทบไม่ได้พับซ้อน หนาประมาณ 6-8 ชั้นไม่มีแสงส่องลอดผ่านผ้าได้ ผูกแน่นพอประมาณ เท่ากับการผูกทั่วไป (ไม่ได้รัดจนดั้งจมูกยุบแบน)
ภาพแรกปิดระดับใต้ตา (ระดับต่ำกว่า ที่เด็กปิดตาทายไพ่ และ ระบายสี หรือเล่นรูบิกในรูปที่ปิดกันสูงกว่านี้ ผลคือเห็นได้สบายๆ แม้จะถือห่างจากตัวเล็กน้อยก็ยังอ่านได้

ภาพนี้ปิดผ้าให้ต่ำลงมาถึงระดับต่ำกว่าปีกจมูก(ปิดจมูกมิด) คือระดับเหนือริมฝีปาก ซึ่งเป็นระดับที่เห็นว่าปิดต่ำที่สุดของเด็กที่เข้ามาร่วมรายการ ก็ยังคงอ่านได้เช่นกัน

อันนี้ ปิดลงมาจนถึงปากเลยถ้าขยับเข้าใกล้ชิดตัวก็ยังมองเห็นได้เช่นกัน แต่ถ้าห่างออกมาก็พ้นระยะการมองเห็น ต้องขยับเข้าใกล้ตัวถึงจะเห็นได้

อันนี้ ลองปิดด้วยผ้าปิดตานอนที่พวกสายการบินและโรงแรมแจก อันนี้มีปีกด้านล่างซึ่งย่นพับงอไปกับสันจมูกได้ ทำให้ร่องตรงข้างจมูกค่อนข้างแคบ อาจจะทำให้เห็นได้ไม่ชัดนักแต่ว่าถ้าขยับและเพ่งมองดีๆก็ยังคงพอมองลอดออกมาอ่านหนังสือได้เช่นกัน
ใครอยากทดสอบเด็กที่บ้าน หรือ ทดสอบตัวเอง ลองปิดตาเล่นกันได้ครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ใครๆก็ทำได้ ถ้าเป็นแอนดรูบิ๊ก ก็จะบอกว่าผ้าปิดตาอ่านหนังสือไทย ง่ายนิดเดียวววววววววว :P

ดังนั้นการที่ น้องๆ เล็กๆ ที่มาออกรายการ เหล่านั้นเค้าเห็นภาพได้ น่าจะเห็นการเห็นจากช่องโหว่นี้ หลายคนไม่อยากคิดว่าเด็กเล็กๆจะโกหก แต่ว่าการที่ผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ และบอกเล่า ชี้แนะ อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กเข้าใจ หรือ บอกออกมาว่า เห็นจากสมองส่วนกลาง ทั้งที่เด็กวัยขนาดนั้น อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่า สมองส่วนกลางคืออะไร เพราะว่า เห็น และรับรู้ ก็คือเห็นสำหรับเด็ก
สำหรับบางคนที่คิดว่า ลูกไปเรียนแบบนี้ ปิดตาอ่านหนังสือแบบนี้ แม้จะไม่ได้มองเห็นด้วยสมองส่วนกลาง แต่ก็ถือว่าได้ฝึกสมาธิ อยากเรียนให้ทราบว่าหลักการของการนั่งสมาธิ คือการปิดกั้นจากสิ่งเร้าๆ ปิดการรับรู้ ต่างให้จิตใจสงบเข้าสูภวังค์เพื่อให้ใจเราสงบ มีสมาธิ พักผ่อน สดชื่น จิตใจเบิกบาน
ส่วนการอ่านหนังสือ นั้น การอ่านให้ได้ผลดี ควรเป็นการอ่านในท่าที่ถูกต้องสายตาอยู่ตรงหนังสือห่างพอประมาณ แสงต้องเพียงพอ การที่ต้องไปเพ่งอ่านหนังสือในที่มืด หรือแสงน้อยหรือต้องมองลอดช่องอย่างนั้นทำให้ต้องเกร็งกรอกตาลงมา ทำมากๆเกิดอาการของกล้ามเนื้อตาเมื่อยล้า (Eye Strain) อาจจะมีอาการปวดศรีษะไมเกรนกำเริบ หรือ คนที่เป็นลมชักอยู่อาจจะมีอาการ ชักกำเริบได้ รวมไปถึงการที่แสงน้อยม่านตาต้องถ่างขยายมากเมื่อเปิดตาออกมาเจอแสงปกติ จะทำให้ได้รับแสงจ้าตาพร่ามัวได้เช่นกัน ดังนั้น ถ้าคิดปิดตา เพื่อเล่นสนุกๆ นิดหน่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าปิด แล้วยังมองเห็น หรือ ทำกิจกรรมต่างๆ แล้วคิดว่า และฝึกสมาธิ น่าจะเป็นแนวคิด ที่ผิด และ เกิดโทษมากกว่าประโยชน์

หวังว่า บทความนี้ คงช่วยเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องดังกล่าวตลอดจนความรู้ทางการแพทย์ เบื้องต้นเกี่ยวกับสมองคนเราได้ดีขึ้นนะครับ

 

การพิสูจน์ให้เห็นว่าการปิดตาแล้วยังมองเห็นทำกิจกรรมต่างๆได้ เป็นการเห็นด้วยตา
ไม่ใช่จากสมองส่วนกลางตามที่กล่าวอ้างมีวิธีพิสูจน์มั้ย

หลายคนที่ดู รายการวันนั้นแล้ว มีข้อสงสัยวิจารณ์กัน ไปทั่วทุกวงการ (ถือว่า Rating ของรายการประสบความสำเร็จดีเยี่ยม) ส่วนข้อกังขา ที่หลายคนสงสัย และชวนให้ ออกมาพิสูจน์ กัน โดย ทดสอบอย่างควบคุมใกล้ชิด
เพราะว่าสิ่งที่กล่าวอ้างมาในรายการนั้น มัน เป็นเรื่อง ที่แปลกเหลือเชื่อ ขัดหลักวิชาการ อย่างเด่นชัด (ตามที่บอกไว้ข้างบน)

สำหรับในหลายเว็บไซด์ ในอินเตอร์เน็ต มีหลายคน ออกมาเรียกร้องให้ทางรายการจัดให้มีการจัดการพิสูจน์ ข้อเท็จจริง ดังกล่าวกันใหม่ ท่ามกลางสักขีพยาน เพราะหลายคนมองว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวพัน กับการศึกษา และสุขภาพของเด็ก ด้วย อยากให้ทุกอย่างโปร่งใสชัดเจน

ผมเอง ก็เป็นคนหนึ่งที่เสนอขอพิสูจน์ ผ่านทางเว็บไซด์ และ ติดต่อทาง Email ไปยังผู้จัดรายการ และทางทีมงานผู้จัดได้ติดต่อกลับมา เป็นคนกลาง ว่าอาจจะจัดให้มีการทดสอบ หลายอย่าง แต่มีข้อติดขัดหลายอย่างที่ทำให้ตกลงกันไม่ได้ จึงยังคงไม่ได้รับการพิสูจน์ให้เห็น ชัดเจน

จาก การได้พูดคุย ผ่านคนกลาง ในการเจรจาต่างๆ แล้ว ทาง ฝ่ายผู้สอน บอกเงื่อนไขหลายอย่างที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ ผ่านคนกลางมา
อย่างเช่นหลายคน บอกให้ปิดไฟทดสอบหรือ เอาหนังสือหรือสิ่งของ ไปไว้ในกล่อง ทึบ อันนี้ ทาง ผู้สอน อ้างว่า คลื่นสมอง ส่วนกลางจะเห็นเฉพาะสิ่งที่ตาเห็น เหมือนกัน ประมาณว่า ใช้ อวัยวะอื่น มองแทนตา เราที่มีสิ่งปิดบังสายตาไว้เท่านั้น จะปิดไฟ เอาใส่กล่องอะไร ทั้งหลาย เค้าว่า สมองมองทะลุไม่ได้ และห้ามปิดหู ปิดปากปิดจมูก ปิดหน้าผาก เพราะว่าป็นช่องทางการรับคลื่นของเค้า
แต่ถ้าใช้การคลำ ถูหัว หรือดม อันนั้น เท่าที่ดูจากเค้าโชว์มา นั่น ทำได้ (แต่ถ้าจะพิสูจน์อีกเค้า จะยอมพิสูจน์ด้วยได้หรือไม่ ต้องลองดู )

 

ถ้าใคร คิดว่าอยากจะลองพิสูจน์ลูกหลานตัวเอง หรือ คน รู้จักที่เรียนมา ว่าการมองเห็น หรือการทำสิ่งต่างๆ ที่เค้าสอนมานั้นทำได้ จริงหรือ ไม่ ให้ลองดูง่ายๆ ดังนี้

รูปแบบการทดสอบที่คิดว่า รัดกุม และตรงตามข้อกำหนด หรือข้ออ้างของฝ่ายผู้สอน

ปิดตาอ่านหนังสือด้วยแว่นว่ายน้ำที่ซีลปิดสนิทด้วยเทปทึบแสง

อันนี้ คือ อันที่เราอยากทำการทดลอง นั่นคือ Goggle หรือแว่นว่ายน้ำ ซึ่งปิดซีลขอบได้ดี เราเลือกแว่นที่มีขอบยางยืดหยุ่น ทำให้มันแนบกับใบหน้าได้ค่อนข้างตลอดเวลา แต่เนื่องจากแว่นมีช่องแสง ดังนั้นการปิดทับด้วยเทป ให้สนิทจะช่วยลดแสงส่องผ่านได้ ถ้าใช้เป็นเทปผ้าทั่วไปมีการยืดตัวค่อนข้างมาก อาจจะปิดได้ไม่สนิทนักแต่จากการที่ทดลองใช้เทป ฟลอย์อลูมิเนียมที่มีกาว ติดสนิท และ สามารถรีดกดเข้ารูป ได้เรียบอยู่ตัวทึบแสงได้ดีปิดกั้นแสงได้ดี จนสนิท น่าจะเป็นครื่องมือ ที่ทดสอบได้เป็นอย่างดี

อันนี้เทปฟลอย์ ที่เหมาะกับการเอามาซีลแว่นทึบได้เป็นอย่างดี

อย่ายอมให้มีกระดาษหรือผ้ารอง ด้านล่างหรือคลุมด้านบนเด็ดขาด เพราะว่า นั่นเพิ่มโอกาสในการให้แสงลอดผ่านและมองเห็น ได้มากขึ้น
และถ้าไปทดสอบกับใคร ระวังเรื่องการส่งซิก จากคนภายนอกที่มองเห็น ส่งสัญญานไปบอกคนทาย หรือ คนอ่านด้วย
แต่ล่าสุด จากการที่ มีการโพสต์ถาม และคุยกันทางอินเตอร์เน็ต และทางฝ่ายผู้สอน ได้เข้ามาติดตามอ่าน ด้วย เราได้ทราบจากผู้ปกครองบางท่านว่า เด็กจะไม่ยอมทดสอบด้วยแว่น ที่ปิดสนิท โดยอ้างว่า มองไม่เห็นเพราะว่าปวดตา
ดังนั้น ทำกันเองที่บ้าน และเด็กไม่ยอมปิดด้วยแว่น อีกวิธี ก็คือปิดด้วยผ้า ที่ทึบและหนาพอที่จะมองไม่เห็น(ลองดูด้วยตาตัวเองก่อน) และปิดให้ต่ำลงมาถึง ราวๆอย่างน้อย ปีกจมูก เพื่อลดโอกาศการมองลอดทางขอบล่าง ซึ่งเห็นได้อยู่แล้ว ตามที่ผมบอกไว้ข้างบน แต่ ให้เด็กอ่านหนังสือ ในระดับสายตาปกติ อย่าให้เอาหนังสือลงมาต่ำ ซึ่งจะลอดช่อง ลงมาเห็นได้

การพิสูจน์ เรื่อง การคลำแล้ว บอกสี

อันนี้ เป็นการทดลอง ที่ทุกฝ่ายแทบไม่ต้องเตรียมตัวมาก ไม่กดดันเด็กมากด้วย และเด็กก็เคยแสดงในรายการมาแล้ว และเป็นหนึ่งในหลักสูตร ที่ทางสถาบันสอนให้เด็กทำ และ บอกว่าเด็กส่วนใหญ่ก็ทำกันได้ นั่นคือการคลำแล้วทายสี
แต่มีข้อกังขา ว่าการที่เด็ก คลำ และหยิบลูกอม ออกจากกระเป๋าพิธีกร ในวันนั้น โดยปิดตา ด้วยผ้าแล้วทายสีนั้น ลูกอมมี กี่เม็ด และ มีลักษณะที่แตกต่างกันหรือป่าว ตลอดจน เด็กแอบมองเห็นตามข้อสังเกตุของบางคน(ที่เห็นจาก เทปย้อนหลัง) ว่า

และช่วยแก้ข้อกล่าวหาให้กับทีมงาน ที่ถูกมองว่าเตี๊ยมกับ คนเล่นได้เป็นอย่างดี เพราะว่า เป็นการทดสอบที่ทำกันไปแล้ว แต่บางคนบอกว่าฟลุ้ค ลูกอมอาจจะมีน้อยเม็ดเกินไป บางคน บอกว่า เตี๊ยม
อันนั้นก็คือ การคลำแล้วบอกสี
โดยจะให้ทำการคลำของแล้ว บอกสี ในกระเป๋าหรือถุง หรือกล่องก็ได้
อันนี้ ง่าย สะดวก เด็กไม่ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเค้า ใช้ทักษะที่เค้ามีอยู่แล้วมาทดลองกัน โดยตัดการฟลุ้คหรือบ้งเอิญออกไป และการเตี๊ยมออกไป
โดยผมจะเตรียมสิ่งของ ชนิดเดียวกัน 10 อัน ขนาดเท่ากัน ต่างกันแต่สี โดยสีที่ ใช้จะต่างกันอย่างเห็นได้ชัด และ ให้เด็กรู้จักได้ดี เช่น แดง ขาว ดำ เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้า ทอง    ชมภู ม่วง หรือ สีอะไรก็ได้ ที่เห็น
แตกต่างกันชัดเจน โดยก่อน ทำการทดลองจะให้เด็กเค้าได้เห็น และอธิบายให้เค้า ก่อน ว่าแต่ล่ะสีอั้นไหนคือสีอะไร และจะเลือกสีที่เห็นแตกต่างกันชัดเจน
หรือ ถ้ากลัว เด็กจะไม่บอกสีไม่ถูก จะเอาสี ตัวอย่างอีกชุด ไว้ให้ข้างนอก ให้เค้าชี้จับคู่สีที่เหมือนกันก็ได้  ให้เค้าเลือกหยิบสีที่เค้าขอบเห็นชัดว่าเหมือนออกมา ในแต่ละชุด ให้หยิบออกมาห้าครั้ง ติดต่อกัน

อันนี้เป็นตัวอย่างสีลูกปัดที่ พื้นผิว และขนาด ทุกอย่างเท่ากัน ต่างกันแต่น้ำหนักสี

( แต่ถ้าเล่นกันที่บ้านใช้ เม็ดช้อคโกแล็ต M&M เหมือนที่น้องๆแนะนำกันก็ได้ ขอให้หลายๆสีหน่อย
หรือ ถ้าสีมีน้อย ก็เพิ่ม ระยะการทายถูกติดต่อกันให้มากครั้ง ขึ้น ถ้าเห็น และรู้จริงต้องไม่พลาด
แต่ถ้าอาศัยความน่าจะเป็นมาฟลุ้ค ก็จะยากอย่างที่ว่าไว้ )

ถ้าคลำแล้วสมองส่วนกลางบอกสีได้จริง ควรจะทำได้ถูกทุกครั้ง ติดกัน ได้ แต่ถ้าเป็นการสุ่ม โอกาสถูกมัน แค่ 1/10 X 1/9 X 1/8 X 1/7 X 1/6   =  1/30240 (เพราะว่าทุกครั้งที่เลือกถูก ช้อยซ์ มันจะลดลงไปทีล่ะ หนึ่งเสมอ)
ถ้า ทาย สิบรอบ โอกาสถูก ก็ 1/3024 พอทนไหว ความน่าจะเป็นน้อยมาก ทำได้ ก็ยอมรับได้
อันนี้ ปล่อยให้เค้าอิสระ ครับ เค้าจะปิดตา ด้วยผ้าเค้าหรือไม่ก็ได้  หรือ จะปิด goggle ผมที่เตรียมไปก็ได้ หรือไม่ปิดก็ได้เพราะว่า ของอยู่ในที่ปิดมิดชิด

สองอันข้างบน นี่ คือรูปแบบการทดลอง ล่าสุดที่ผม เสนอให้กับทาง ฝ่ายผู้จัด นำไป เสนอกับทางโรงเรียนเพื่อ ให้ทำการพิสูจน์กัน ทั้งนี้นอกจากจะได้พิสูจน์ความจริงแล้ว ยังช่วยแก้ข้อครหา ต่อทางรายการ ให้หมดไปด้วย

และ เพื่อยืนยันว่า ผมไม่ใช่แกล้งท้าพิสูจน์ไปเล่นๆ แต่อยากให้มีการทดลองกันจริงจัง

และถ้า มีการจัดให้ทดสอบ ให้ประชาชนทราบ เป็นทางการจริง ถ้าน้องๆทำได้ถูกต้อง ผมยินดีมอบทุนการศึกษาให้น้องๆที่มาร่วม 1 แสนบาท และ แม้ผลการทดสอบออกมาไม่สำเร็จ นอกจากที่ทางรายการคงมี ค่ารถให้แล้ว ทางผม สมทบค่า ขนม ค่าอาหารให้น้องๆ หนึ่งหมื่นบาท ไปฉลอง กัน ตามที่ตั้งใจไว้ครับ เรียกว่ากลับไป ได้ทานฉลองกัน แน่นอน :P

ปิดตาเล่นรูบิค

อันนี้ ก็เช่นกัน ถ้าจะทดสอบ ควรปิดตาให้แน่ใจว่า มองไม่เห็นจริงๆ ด้วย Goggle ที่ซีลสนิท และ ต้องเป็นการเริ่มหมุน หลังจากปิดตาแล้ว แล้ว scamble ลูกบิด(บิดหน้าสุ่มไป ให้ ก่อนส่งให้ เริ่มบิด ต่อ)
เพราะว่าด้วย เทคนิคการแข่งขันรูบิค ปิดตา ที่มีการแข่งขันกันจริงๆ ( และทำการปิดตาแบบมองไม่เห็นจริงๆ )ด้วย เครื่องมือปิดตา ที่ได้รับการพิสูจน์ว่า ปิดสนิทจริงๆนั้น) จะให้ผู้ แข่ง ศึกษารูปแบบของ รูบิค ให้ทราบตำแหน่งสีก่อน หลังจากนั้นจึงปิดตา แล้ว คนบิดต่อไปด้วยการใช้ความจำ(ไม่ได้ใช้ตาวิเศษ) หรือ สมองส่วนกลางนะ อันนั้น เค้าสามารถทำได้ อยู่แล้ว (ให้ปิดไฟมืด ก็บิดได้ เพราะว่าเค้าใช้ความจำ กับสูตรการบิด)
แต่ ถ้าใช้สมองส่วนกลาง อ่านได้จริง ก็เหมือนตาเห็น ดังนั้น ไม่ว่าจะจัดหน้า สีจะอยู่ตำแหน่งไหน เค้าต้องหมุนได้ อย่างที่เห็นในรายการนั่นแหละ แต่ว่าในรายการวันนั้น น้องปิดตา ด้วยผ้า มีช่องโหว่ และ รูบิคอยู่ต่ำมากหลายคนอยากให้ลอง ปิดด้วยแว่น หรือ ว่าถ้าปิดด้วยผ้า ก็ ให้ยกขึ้นมาให้พ้น ขอบผ้าด้านล่างให้มองไม่เห็นจริงๆแล้วค่อยบิด นะครับ

##################################################

หมายเหตุ(ผ้าบางชนิดบางหรือมีช่องที่ตามองเข้าไปเห็นไม่ชัด แต่มองออกมาเห็นได้บ้าง รวมทั้งผ้าที่ใช้ปิดตาเล่นมายากล ที่แสดงให้คนชมเห็นได้ว่าทึบ แต่ใช้งานจริง มองเห็นทะลุได้ก็มี) อันนี้ สำหรับพวกนักเล่นกลเค้าใช้กัน เราแค่รู้ไว้พอหรือ


ขอยืมรูปจาก
www.ohomagic.com มาโฆษณาให้เลยครับใครสนใจคลิคไปซื้อกันได้ :P

Back to -=Jfk=-Science Corner